วันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

คู่มือเตรียมสอบ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ป.1 - 2 - 3 ___ สังคม ป.3 - บทที่ 3 สิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา (แบบทดสอบ)

คู่มือเตรียมสอบ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ป.1 - 2 - 3 ___ สังคม ป.3 - บทที่ 3 สิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา (แบบทดสอบ)











คู่มือเตรียมสอบ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ป.1 - 2 - 3 ___ สังคม ป.3 - บทที่ 3 สิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา (แบบฝึกหัด)

คู่มือเตรียมสอบ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ป.1 - 2 - 3 ___ สังคม ป.3 - บทที่ 3 สิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา (แบบฝึกหัด)










คู่มือเตรียมสอบ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ป.1 - 2 - 3 ___ สังคม ป.3 - บทที่ 3 สิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา (เนื้อหา)

คู่มือเตรียมสอบ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ป.1 - 2 - 3 ___ สังคม ป.3 - บทที่ 3 สิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา (เนื้อหา)



Download - เนื้อหา
บทที่ 3 สิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา



     1.      สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรทางธรรมชาติ
ก.     ความหมายและลักษณะของสิ่งแวดล้อม
สิ่งแวดล้อม หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเรา ทั้งเป็นสิงมีชีวิต และสิ่งไม่มีชีวิต มีทั้งเห็นด้วยตา จังต้องได้ หรืออาจมองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่า สิ่งแวดล้อมจึงแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ
1)     สิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หรือสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ เป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อความเป็นอยู่ของชีวิตเป็นอย่างยิ่ง ได้แก่ ดิน หิน แร่ธาตุ ป่าไม้ แหล่งน้ำ อากาศ เราควรเรียนรู้ถึงความสำคัญ ชนิด และประโยชน์ต่อชีวิต เราต้องรู้จักการใช้และการดูแลให้เหมาะสม เพื่อให้คงสภาพที่ดี ใช้ประโยชน์ต่อไปได้นาน ๆ ถ้าไม่รู้จักการใช้ในทางที่ถูกต้อง มีความมักง่าย และใช้มากจนเกินไป ก็จะเกิดมลพิษอย่างรุนแรง มีผลเสียต่อความเป็นอยู่ของชีวิต ทั้งคน พืช สัตว์ เราต้องศึกษาเรียนรู้ประโยชน์ การใช้อย่างถูกต้อง ประหยัด ช่วยกันดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแสดงถึงความตระหนักในคุณค่าของสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ
2)     สิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น ได้แก่ สิ่งก่อสร้างที่มนุษย์ทำขึ้นมา เพื่อใช้ประโยชน์ในการดำรงชีวิตร่วมกันในสังคม ได้แก่ การสร้างแหล่งที่พักอาศัย แหล่งเพาะปลูก และเลี้ยงสัตว์ สิ่งสาธารณูปโภค เช่น ถนน สะพาน เขื่อน ทางรถไฟ สนามบิน เป็นต้น และยังมีแหล่งเรียนรู้ที่สร้างขึ้นอย่างมีคุณค่า เช่น โบราณสถาน วัดวาอาราม วนอุทยาน พิพิธภัณฑ์ สวนสัตว์ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ

ข.     ความหมายและลักษณะของทรัพยากรธรรมชาติ
ทรัพยากรธรรมชาติ หมายถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และมีคุณค่าแก่มนุษย์ในการดำรงชีวิต ดังนั้น ทรัพยากรธรรมชาติทุกอย่างเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งแวดล้อม แต่สิ่งแวดล้อมทุกชนิดไม่ใช่ทรัพยากรทั้งหมด ขึ้นอยู่กับการนำมาใช้ประโยชน์ได้ตรงกับความต้องการของมนุษย์ จึงเรียกว่า ทรัพยากรธรรมชาติ



ทรัพยากรธรรมชาติ แบ่งได้ดังนี้
1)     ทรัพยากรหมุนเวียน เป็นทรัพยากรที่ใช้ไม่หมดสิ้น ซึ่งมีอยู่มากมายในธรรมชาติ และมีความจำเป็นแก่ชีวิตทั้งหมด ได้แก่ แสงอาทิตย์ อากาศ แหล่งน้ำธรรมชาติ
2)     ทรัพยากรทดแทน คือ ทรัพยากรที่มนุษย์ต้องการใช้มาก เพราะเป็นส่วนประกอบของปัจจัยสี่ที่ใช้ในการดำรงชีวิต เมื่อใช้แล้วสามารถฟื้นคืนสภาพทดแทนได้ ได้แก่ ดิน น้ำ สัตว์น้ำ ป่าไม้ สัตว์ป่า
3)     ทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไป คือ ทรัพยากรที่ไม่สามารถเกิดขึ้นมาทดแทนได้ หรือใช้เวลานานมากในการทดแทน เป็นทรัพยากรที่มีอยู่จำกัด ได้แก่ แร่ธาตุต่าง ๆ น้ำมันปิโตรเลียม แก๊สธรรมชาติ

     2.     ประโยชน์ของทรัพยากรธรรมชาติ
ประเทศไทย มีทรัพยากรธรรมชาติมากมาย ซึ่งให้คุณค่า และมีประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตของคนไทยในด้านต่าง ๆ ดังนี้
1)             ดิน เป็นส่วนหนึ่งของพื้นผิวโลก ที่เกิดจากหินที่แตกละเอียด ปนกับซากพืช ซากสัตว์ คนเราใช้เป็นที่ตั้งบ้านเรือน ใช้ดินในการเพาะปลูกพืชชนิดต่าง ๆ เพื่อนำมาทำอาหาร สร้างที่อยู่อาศัย ทำเครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค นอกจากนี้ ดินยังใช้ปั้นทำเครื่องใช้ได้หลายอย่าง เช่น กระถาง โอ่ง แจกัน
2)             หิน  เป็นก้อนแข็ง มีมากตามภูเขา คนนำหินมาใช้ในการก่อสร้างบ้าน อาคาร ถนน สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ และเครื่องใช้ที่ทำจากหิน เช่น ครก โม่ เครื่องประดับจากหินชนิดต่าง ๆ ที่มีสีสวยงามตามธรรมชาติ
3)             ทราย เป็นเม็ดเล็ก ๆ ร่วนแต่แข็ง ไม่จับตัวกันเป็นก้อนเหมือนดินหรือหิน มีอยู่มากตามชายทะเล หรือแม่น้ำ ทรายมีประโยชน์มากในการก่อสร้างบ้านเรือน พืชบางชนิดชอบขึ้นตามดินทราย เช่น ปาล์ม มะพร้าว นอกจากนี้ ทรายยังใช้ทำแก้วได้ด้วย
4)             น้ำ เป็นของเหลว คนเราใช้นำในการดื่ม ปรุงอาหาร ชำระล้างสิ่งสกปรกของร่างกาย เสื้อผ้า ภาชนะ จึงต้องเป็นน้ำสะอาดที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น และไม่มีเชื้อโรค น้ำยังมีประโยชน์ต่อพืชและสัตว์อีกมากมาย เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำต่าง ๆ ทั้งในน้ำเค็มและน้ำจืด น้ำเป็นปัจจัยสำคัญในการปลูกพืช และน้ำยังเป็นเส้นทางของการไปมาติดต่อกันอีกด้วย
5)             อากาศ มีลักษณะเป็นแก๊สอยู่รอบตัวเรา อากาศเป็นสิ่งสำคัญมากต่อสิ่งมีชีวิต คน พืช และสัตว์ ต้องใช้อากาศในการหายใจ ซึ่งต้องเป็นอากาศที่บริสุทธิ์ สดชื่น ไม่มีกลิ่น ไม่มีควัน หรือฝุ่นละออง แหล่งอากาศที่ดี ได้แก่ ชายทะเล ทุ่งนา ภูเขา
6)             ป่าไม้ คือ บริเวณที่กว้างใหญ่ มีต้นไม้ชนิดต่าง ๆ ขึ้นอยู่เป็นจำนวนมาก เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่านานาชนิด ป่าไม้มีความชุ่มชื้น ช่วยทำให้ฝนตก อากาศเย็นสบาย รากของต้นไม้จะดูดซับน้ำไว้ ทำให้ไม่เกิดน้ำท่วม ป่าไม้ที่อยู่ตามบริเวณภูเขาจะเป็นที่เกิดของต้นน้ำลำธาร เป็นแหล่งอาหารของสิ่งมีชีวิต ป่าไม้จึงเป็นทรัพยากรทางธรรมชาติที่มีคุณค่ามหาศาล

     3.     ผลของการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ
ในปัจจุบันนี้ จำนวนประชากรของประเทศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีการเร่งรัดพัฒนาเศรษฐกิจกันมาก จึงมีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างฟุ่มเฟือย ให้ผิดวิธี ไม่คำนึงถึงผลที่ตามมา จึงทำให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม เกิดมลพิษด้านต่าง ๆ ทำให้ความเป็นอยู่ของมนุษย์ต้องเดือดร้อน มีปัญหาตามมาอีกหลายด้าน ซึ่งผลของการใช้ทรัพยากรที่ไม่ระมัดระวัง ใช้มากเกิดไป แสดงถึงความเห็นแก่ตัว ย่อมเกิดผลกระทบต่อส่วนรวม ทำให้เกิดความเดือดร้อนไปทั้งหมด และในที่สุดทรัพยากรธรรมชาติก็จะหมดไป หรือไม่มีคุณภาพต่อชีวิต การกระทำที่ก่อให้เกิดมลพิษต่อทรัพยากรธรรมชาติ มีดังนี้
1)                 การทิ้งขยะหรือสิ่งปฏิกูลลงในแม่น้ำลำคลอง เกิดจากความมักง่าย และการปล่อยน้ำเสียจากบ้านเรือน จากโรงงานลงไปตามแหล่งน้ำ ทำให้สิ่งมีชีวิตในน้ำต้องตาย สาเหตุดังกล่าวนี้ ทำให้น้ำในแม่น้ำลำคลองเน่าเสียมาก
2)                 การตัดไม้ทำลายป่าจำนวนมาก เพื่อสร้างแหล่งที่อยู่อาศัย หรือแหล่งเพาะปลูก มีผลทำให้ฝนไม่ตกตามฤดูกาล เกิดความแห้งแล้ง ถ้ามีฝนตกมาก ไม่มีรากพืชดูดซับน้ำไว้ ก็จะทำให้เกิดน้ำท่วมอย่างฉับพลัน สร้างความเสียหายและเดือดร้อนไปทั่ว ผลเสียอีกประการหนึ่ง คือ ไม่มีต้นไม้ก็ทำให้น้ำในต้นน้ำลำธารมีน้อย ทำให้ขาดแคลนน้ำ และขาดแคลนอากาศบริสุทธิ์ด้วย
3)                 การใช้สารเคมีการการเพาะปลูกมากเกินไป โดยมีความต้องการที่จะเร่งผลผลิตจากการปลูกพืช ทำให้มีผลกระทบต่อดินที่ขาดการบำรุง การใช้ปุ๋ยเคมีจะทำให้ดินแข็งมากขึ้น แต่ความอุดมสมบูรณ์ของดินตามธรรมชาติลดลง
4)                 การปล่อยควันพิษ เป็นควันพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม หรือควันพิษจากรถยนต์ จากการเผาขยะ ล้วนแต่ทำให้อากาศเสีย คนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงต้องสูดดมควันพิษเหล่านี้เป็นประจำ ทำให้สุขภาพเสื่อมโทรมและอ่อนแอง่าย

4.     การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ
อนุรักษ์ หมายถึง การป้องกันรักษา การคุ้มครอง ดูแล ดังนั้นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ คือ การดูแล ป้องกันรักษา รวมทั้งฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม และทรัพยากรธรรมชาติ ให้อยู่ในสภาพที่ดี ให้ประโยชน์อย่างเหมาะสมเป็นที่น่าพอใจ
ผู้ที่ทำให้สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติเกิดความเสียหาย มีปัญหากระทบไปทุก้าน คือ คน ถ้าโลกนี้ไม่มีป่าไม้ ไม่มีสัตว์ มีน้ำเน่าเสีย อากาศเป็นพิษ ดินแห้งแล้ว เราก็ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ จึงเป็นหน้าที่ของคนทุคนที่ต้องร่วมแรงร่วมใจช่วยกันดูแลรักษา คุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้คงอยู่โดยมีข้อปฏิบัติร่วมกัน ดังนี้
(1)   ช่วยรักษาแหล่งน้ำต่าง ๆ ให้สะอาด โดยไม่ทิ้งขยะลงในแม่น้ำลำคลอง โรงงานอุตสาหกรรม ต้องมีการบำบัดน้ำเสียก่อน จึงปล่อยน้ำลงในแหล่งน้ำ
(2)   ไม่ตัดไม้ทำลายป่า และช่วยกันปลูกต้นไม้ให้มีจำนวนมาก เป็นการเพิ่มอากาศบริสุทธิ์ มีความชุ่มชื้น ทำให้ฝนตกตามฤดูกาล ไม่แห้งแล้ง ต้นน้ำลำธารก็จะมีน้ำอยู่ตลอดปี
(3)   ปลูกพืชคลุมดิน เพื่อมิให้หน้าดินถูกน้ำฝนชะล้างไป พืชที่นิยมปลูก คือ พืชตระกูลถั่ว เพราะช่วยทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์
(4)   ในการเพาะปลูก ควรใช้ปุ๋ยจากธรรมชาติ เช่น ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก ช่วยให้ดินมีคุณภาพดี ปลูกพืชได้ผลงอกงาม ให้ลดการใช้สารเคมีในการปลูก เช่น ปุ๋ยเคมี หรือยาฆ่าแมลง เพราะจะทำให้ดินเสื่อมคุณภาพเร็ว
(5)   ไม่เผาซากพืชในที่ปลูก เพราะควันทำให้เกิดมลพิษ และความร้อนจะทำให้จุลินทรีย์ที่อยู่ในดินตายหมด เพราะจุลินทรีย์ คือสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กมาก ช่วยย่อยสลายซากพืชซากสัตว์ให้เน่าเปื่อย กลายเป็นปุ๋ยในดิน
(6)   ขยะในบ้านควรแยกก่อนทิ้ง เช่น เศษอาหาร เศษกระดาษ เศษแก้ว เศษโลหะ เศษไม้ เศษพลาสติก โดยเฉพาะขยะมีพิษ เช่น ภาชนะใส่สารเคมี ถ่านไฟฉายที่ใช้แล้วต้องแยกต่างหาก เพื่อให้ผู้ที่มีหน้าที่เก็บขยะทำงานได้รวดเร็ว
(7)   ทุกคนร่วมใจกันใช้ทรัพยากรอย่างประหยัด และคุ้มค่า เช่น การประหยัดน้ำ ประหยัดไฟฟ้า ประหยัดการเดินทาง


     5.      สิ่งแวดล้อมทางสังคม
1)     ลักษณะสังคม
ลักษณะสังคม คือ การอยู่ร่วมกันของกลุ่มคน เรียกว่า ชุมชน ซึ่งประกอบด้วยหลายครอบครัว เริ่มต้นเป็นชุมชนขนาดเล็ก คือ หมู่บ้าน ตำบล แล้วรวมกันไปจนถึงชุมชนขนาดใหญ่ คือ อำเภอ จังหวัด จนถึงประเทศ ลักษณะของสังคมไทยมี 2 แบบ ได้แก่
(1)   สังคมเมือง เป็นพื้นที่ที่มีคนอยู่รวมกันหนาแน่น มีถนนหนทางหลายสาย สาธารณูปโภคที่ให้ความสะดวกสบายมีมาก เช่น ไฟฟ้า น้ำประปา รถไฟฟ้า ห้างสรรพสินค้า ผู้คนมีอาชีพอย่างหลากหลาย และมีปัญหาสิ่งแวดล้อมมากมาย ได้แก่ มีขยะมาก มีอุบัติภัย โจรผู้ร้าย ค่าใช้จ่ายสูง
(2)   สังคมชนบท เป็นพื้นที่ที่มีคนอยู่กันไม่หนาแน่น ใช้พื้นที่ในการเพาะปลูกเป็นส่วนมาก สิ่งแวดล้อมยังคมเป็นธรรมชาติ ความเป็นอยู่ของผู้คนเรียบง่าย สงบ ปัจจุบันสังคมชนบทได้รับการพัฒนาให้มีความเจริญมากยิ่งขึ้น โดยผู้คนในท้องถิ่นของตน

2)    ลักษณะของสังคมที่น่าอยู่
สมาชิกในสังคมทุกแบบย่อมต้องการอยู่ในสังคมที่สงบสุข ไม่วุ่นวาน ถ้ามีปัญหาก็รวมกลุ่มช่วยกันแก้ไข ดังนั้น คนในสังคมต้องเข้าใจสภาพแวดล้อม ช่วยกันเสริมสร้างสิ่งที่ขาดแคลน โดยมีคุณธรรมในการอยู่ร่วมกัน เพื่อพัฒนาสังคมที่ตนอยู่ ดังนั้น ลักษณะของสังคมที่น่าอยู่ควรมีดังนี้
(1)   สภาพแวดล้อมสะอาด มีที่พักผ่อนหย่อนใจร่วมกัน
(2)   มีความปลอดภัย ช่วยกันดูแลและป้องกันเหตุร้าย
(3)   คนในสังคมมีอาชีพสุจริต รับผิดชอบในหน้าที่
(4)   มีที่รองรับขยะและสิ่งปฏิกูล ไม่ทิ้งเกลื่อนกลาด
(5)   ปฏิบัติตามระเบียบและกฎหมาย เช่น ปฏิบัติตามกฎจราจร
(6)   ให้ความร่วมมือร่วมใจในการพัฒนาสังคมในด้านต่าง ๆ


3)    การมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี
การมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี หมายถึง การรู้จักปฏิบัติตนเองให้อยู่ร่วมกันกับผู้อื่นได้อย่างเหมาะสม ซึ่งมีแนวทางปฏิบัติ ดังนี้
o  ดูแลร่างกาย และแต่งกายให้สะอาดเรียบร้อยเสมอ
o  ยิ้มแย้มต่อผู้ที่ได้พูดคุย มีไมตรีจิตต่อกัน
o  พูดคุยในเรื่องสร้างสรรค์ ไม่พูดโอ้อวด หรือนินทา
o  รู้จักพูดชมเชยผู้อื่นด้วยความจริงใจ
o  ไม่ล้อเลียน หรือดูถูกผู้อื่น
o  มีมารยาทดี เคารพและช่วยเหลืองานผู้ใหญ่ด้วยความยินดี
o  มีน้ำใจช่วยเหลือผู้อื่น ไม่เป็นคนเห็นแก่ตัว และไม่เห็นแก่ได้

4)    ปัญหาจากขยะในชุมชน
ขยะ คือ ของต่าง ๆ ที่เหลือใช้จากกระบวนการผลิต ของกินและของใช้ และของเหลือจากการใช้สอยของมนุษย์
ประเภทของขยะ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
ก.      ขยะธรรมดา หมายถึง ขยะที่พบได้ทั่วไปจากแหล่งชุมชน มี 2 ลักษณะ คือ
o  ขยะเปียก ได้แก่ เศษผัก เศษอาหาร ใบไม้ มูลสัตว์ ซากสัตว์
o  ขยะแห้ง ได้แก่ กระดาษ เศษแก้ว เศษปูน เศษไม้ เศษโลหะ เศษผ้า ซากรถยนต์ เถ้าถ่าน ฯลฯ
ข.      ขยะอันตราย หมายถึง ขยะที่มีองค์ประกอบบางส่วน ทำให้เกิดอันตราย ที่มีผลเสียกระทบต่อคนและสิ่งแวดล้อม ได้แก่ พลาสติก ถ่านไฟฉาย สารเคมี กระป๋องสเปรย์ หลอดไฟนีออน ใบมีดโกน แบตเตอรี่ เข็มฉีดยา ยารักษาโรคที่เสื่อมคุณภาพ ขยะติดเชื้อโรค
แหล่งที่ทำให้มีขยะเกิดขึ้น คือ ทุกสถานที่ที่อยู่ในชุมชน เช่น บ้านเรือนที่อยู่อาศัย ตลาด โรงเรียน โรงงาน โรงพยาบาล สถานที่ที่มีการก่อสร้าง ฯลฯ
ปัญหาที่เกดขึ้นจากขยะ มีผลกระทบต่อด้านสุขภาพอนามัย ด้านความเป็นอยู่ในสังคม และด้านเศรษฐกิจ ของมนุษย์และสิ่งแวดล้อม เช่น
(1)   ส่งกลิ่นเหม็น เป็นอันตรายต่อสุขภาพในการหายใจ เพราะอากาศไม่ดีในบริเวณนั้น
(2)   ทำให้เป็นที่เกิดเชื้อโรคต่าง ๆ รวมทั้งเป็นที่แพร่พันธุ์ของพาหะนำโรคด้วย เช่น หนู แมลงวัน แมลงสาบ
(3)   สภาพแวดล้อมของบริเวณที่มีขยะ นอกจากกลิ่นเหม็นแล้ว เมื่อมีฝนตกอาจซึมลงในดิน หรือไหลลงสู่แหล่งน้ำในชุมชน ทำให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมา

แนวทางการจัดการเกี่ยวกับขยะ
ทุกคนในสังคม ไม่ว่าจะอยู่ที่บ้าน โรงเรียน และสถานที่ทุกแห่ง ต้องรู้ถึงปัญหาของขยะที่นับวันจะเพิ่มมากขึ้น เพราะขาดการใส่ใจ และไม่คิดคำนึงถึงปัญหาที่เกิดผลกระทบต่อทุกคนและสิ่งแวดล้อม แม้ว่าจะมีหน่วยงานที่มีหน้าที่จัดการเรื่องของขยะ แต่ปัญหาก็ยังมีอยู่อีกมาก ดังนั้นทุกคนในสังคมต้องมีจิตสำนึก และมีส่วนช่วยในการจัดการเกี่ยวกับขยะ โดยมีแนวทางในการร่วมมือ ร่วมใจจัดการเกี่ยวกับขยะ เช่น
(1)   ลดประมาณของขยะให้น้อยลง เช่น ถุงใส่ของ ควนใช้ถุงผ้า หรือใส่ตะกร้า เพื่อลดการใช้ถุงพลาสติก
(2)   แยกประเภทของขยะ ไม่ทิ้งรวมกัน เช่น เศษอาหาร เศษผักผลไม้ เศษใบไม้ต่าง ๆ เป็นขยะที่ย่อยสลายเป็นปุ๋ยได้ ส่วนเศษโลหะ เศษกระดาษ เศษพลาสติก เศษแก้ว เศษไม้ ควรแยกเป็นพวก ๆ ไม่รวมกัน ซึ่งขายให้แก่ผู้ที่มีอาชีพรับซื้อเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ได้
(3)   นำกลับมาใช้ใหม่ได้ ของใช้บางอย่างอาจนำมาใช้ประโยชน์ได้อีก เช่น สมุดที่ใช้ไม่หมดแต่ละเล่ม นำมารวมแล้วเย็บเป็นเล่มใหม่ ใช้จดบันทึกได้ กล่องกระดาษ กล่องพลาสติก ขวดแก้ว อาจนำมาใช้ประโยชน์อื่น ๆ ได้อีก
(4)   ลดปริมาณการบริโภคที่ไม่จำเป็น สิ่งของเครื่องใช้หลายอย่างที่ซื้อมาบางอย่างใช้ไม่คุ้มค่า เพราะซื้อมาเก็บหรือวางไว้เฉย ๆ จึงต้องรู้จักคิดก่อนซื้อว่า สิ่งของประเภทนี้ยังมีอยู่ หรือสิ่งที่จะซื้อจำเป็นหรือไม่
(5)   ของกิน ของใช้มีอายุการใช้งาน ถ้าเลยกำหนดเวลาแล้ว ของนั้นจะหมดอายุ ถ้านำมาใช้ก็จะทำให้เกิดผลที่เป็นอันตรายได้ เช่น ผักสด ผลไม้ ขนม อาหารกระป๋อง เครื่องสำอาง ดังนั้นก่อนซื้อต้องดูกำหนดเวลาที่หมดอายุ และไม่ควรซื้อมากเกินไป ใช้ไม่ได้ก็ต้องทิ้งเป็นการเพิ่มขยะ
(6)   การกำหนดเวลาในการสะสางสิ่งของเครื่องใช้ภายในบ้านที่เสื่อมสภาพ หรือไม่ได้ใช้แล้ว ไม่ควรเก็บให้รกบ้าน







Download - เนื้อหา
















คู่มือเตรียมสอบ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ป.1 - 2 - 3 ___ สังคม ป.3 - บทที่ 2 ภูมิศาสตร์กายภาพ (แบบทดสอบ)

คู่มือเตรียมสอบ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ป.1 - 2 - 3 ___ สังคม ป.3 - บทที่ 2 ภูมิศาสตร์กายภาพ (แบบทดสอบ)













คู่มือเตรียมสอบ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ป.1 - 2 - 3 ___ สังคม ป.3 - บทที่ 2 ภูมิศาสตร์กายภาพ (แบบฝึกหัด)

คู่มือเตรียมสอบ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ป.1 - 2 - 3 ___ สังคม ป.3 - บทที่ 2 ภูมิศาสตร์กายภาพ (แบบฝึกหัด)











คู่มือเตรียมสอบ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ป.1 - 2 - 3 ___ สังคม ป.3 - บทที่ 2 ภูมิศาสตร์กายภาพ (เนื้อหา)

คู่มือเตรียมสอบ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ป.1 - 2 - 3 ___ สังคม ป.3 - บทที่ 2 ภูมิศาสตร์กายภาพ (เนื้อหา)



Download - เนื้อหา


บทที่ 2 ภูมิศาสตร์กายภาพ

     1.      ความหมาย และความสำคัญของภูมิศาสตร์
ภูมิศาสตร์ คือ การเรียนรู้เกี่ยวลักษณะของพื้นที่บนพื้นผิวโลกที่คนเราได้อยู่อาศัย ซึ่งมีความสัมพันธ์ต่อชีวิตความเป็นอยู่ รวมทั้งการประกอบอาชีพ การปกครองของกลุ่มคน และการเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่าง ๆ หรือ สรรพสิ่งบนพื้นผิวโลก มีผลต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์
พื้นผิวโลก ประกอบด้วย สิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เป็นสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา ซึ่งเรามองเห็น และจับต้อง หรือสัมผัสได้ เรียกว่า ลักษณะทางกายภาพ การเรียนรู้เกี่ยวกับพื้นที่ที่เราอาศัย และพื้นผิวโลก ต้องศึกษาจากบริเวณที่อยู่ใกล้ตัวในท้องถิ่น คือ บ้าน โรงเรียน ชุมชน จังหวัด ภาค ประเทศ จนถึงสังคมโลก ตามลำดับ

     2.     ลักษณะและองค์ประกอบของชุมชนขนาดต่าง ๆ
ชุมชน เป็นที่อยู่อาศัยรวมกันของกลุ่มคน มีบ้านเรือนอยู่ใกล้เคียงกัน มีการช่วยเหลือและพึ่งพากันได้ ชุมชนมีทั้งขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ มีชื่อเรียกตามลักษณะขององค์ประกอบที่มีขนาดต่างกัน ดังนี้
1)     หมู่บ้าน เป็นชุมชนที่มีขนาดเล็กที่สุด ประกอบด้วย บ้านหลายหลังที่ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกัน มีถนนในหมู่บ้านที่เป็นเส้นทางไปมาติดต่อกัน และมีสถานที่ประกอบการในหมู่บ้าน เช่น ตลาด โรงเรียน วัด
2)     ตำบล ยังเป็นชุมชนขนาดเล็ก ประกอบด้วย หลายหมู่บ้านรวมกัน มีถนนไปมาติดต่อกันระหว่างหมู่บ้าน และสถานที่ประกอบการในตำบลที่มีมากขึ้นหลายแห่ง เช่น ตลาด โรงเรียน วัด สถานีอนามัย สถานีตำรวจ ธนาคาร ที่รับ – ส่ง ผู้โดยสารรถประจำทาง ท่าจอดเรือ โรงงานอุตสาหกรรม สถานที่ท่องเที่ยวในท้องถิ่น
3)     อำเภอ หรือเขต เป็นชุมชนที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ประกอบด้วยหลายตำบลรวมกัน บางอำเภอมีขอบเขตกว้างขวาง มีพื้นทำการเพาะปลูก บางอำเภอ โดยเฉพาะอำเภอเมืองจะมีถนนติดต่อกันหลายสาย มีบ้านเรือน อาคารร้านค้ามากมาย มีสถานที่ประกอบการอย่างละหลายแห่ง เช่น มีตลาดหลายแห่ง มีห้างสรรพสินค้า มีโรงเรียนหลายขนาดทั้งโรงเรียนประถมศึกษา มัธยมศึกษา จนถึงระดับวิทยาลัย และสถานที่สำคัญต่าง ๆ เช่นเดียวกับในตำบล แต่จะมีจำนวนมากกว่า
4)     จังหวัด ภาค ประเทศ เป็นชุมชนที่มีขนาดใหญ่มากตามลำดับ มีองค์ประกอบต่าง ๆ ที่เหมือนกับอำเภอ แต่มีจำนวน และขนาดมากกว่า
o  จังหวัด ประกอบด้วยหลายอำเภอ จังหวัดที่เป็นศูนย์รวมของการปกครอง การคมนาคม และอื่น ๆ อีกหลายด้าน ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศไทย คือ กรุงเทพมหานคร
o  ภาค ประกอบด้วยหลายจังหวัด ที่มีลักษณะพื้นที่คล้ายกัน และอยู่ใกล้เคียงกัน การแบ่งภาคในประเทศไทย ได้แก่  ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก ซึ่งมีองค์ประกอบทางกายภาพที่แตกต่างกันไป
o  ประเทศ คือ พื้นแผ่นดินขนาดใหญ่ ที่มีอาณาเขตที่แน่นอน มีการปกครองรูปแบบเดียวกัน มีภาษา วัฒนธรรม ความเป็นอยู่เหมือนกันเป็นส่วนใหญ่ ประเทศไทย คือ พื้นแผ่นดินที่อาศัยอยู่ของคนไทย ตั้งอยู่ที่ทวีปเอเชีย ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศไทยมีลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่แบ่งเป็น 6 ภาค และแบ่งเป็นจังหวัดได้ 76 จังหวัด การปกครองของประเทศไทย เป็นการปกครองแบบประชาธิปไตย ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

     3.     หน้าที่และความสัมพันธ์ขององค์ประกอบที่เป็นชุมชน
องค์ประกอบของชุมชนที่เป็นพื้นที่ และจำนวนประชากร มีตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ ตามลำดับ ดังนี้
หมู่บ้าน è ตำบลหรือแขวง è อำเภอ หรือเขต è จังหวัด è ภาค è ประเทศ
ในพื้นที่ของชุมชน จะประกอบด้วย อาคารบ้านเรือน หมู่บ้าน ร้านค้า ถนน สถานที่ทำการต่าง ๆ โรงเรียน วัด สวนสาธารณะ แหล่งเพาะปลูก แหล่งเก็บน้ำ แหล่งประวัติศาสตร์ สนามกีฬา และอื่น ๆ
หน้าที่และความสัมพันธ์ขององค์ประกอบในชุมชน ส่วนมากจะเป็น กฎ ระเบียบ และข้อปฏิบัติที่ดีร่วมกัน ได้แก่
1)     การปฏิบัติตามกฎจราจร ควรรู้และทำตามระเบียบที่กำหนด คือ
o  เดินตามถนนบนทางเท้า ข้ามถนนตรงทางข้ามหรือสะพานลอย
o  เด็กไม่ควรขับขี่รถจักยานบนถนนที่มีรถมาก
o  การขึ้นลงรถประจำทาง ต้องให้รถจอดสนิทก่อน
o  ไม่วางสิ่งของเกะกะ หรือทิ้งขยะบนทางเท้า
2)    การทิ้งขยะ และรักษาความสะอาด
o  ไม่ทิ้งขยะ และสิ่งสกปรกลงแหล่งน้ำ และตามถนน
o  ควรมีการแยกขยะต่าง ๆ ก่อนทิ้ง ไม่ควรทิ้งรวมกัน เช่น เศษแก้ว เศษกระดาษ เศษโลหะ เศษอาหาร บางอย่างรวบรวมขายได้
3)    การร่วมมือรักษาสาธารณสมบัติ
o  ไม่ขีดเขียนตามฝาผนัง อาคาร หรือตามกำแพงต่าง ๆ ให้เลอะเทอะ ซึ่งเป็นการทำผิดด้วย
o  ช่วยกันดูแลรักษา และใช้สมบัติของส่วนรวมให้เหมาะสม เช่น โทรศัพท์สาธารณะ สะพานลอยข้ามถนน
o  พบเห็นผู้ทำลาย ควรบอกผู้ใหญ่ หรือเจ้าหน้าที่
4)     ช่วยกันอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมในชุมชน เป็นหน้าที่ของทุกคนในชุมชน และเป็นความร่วมมือกันของทุกฝ่าย ตั้งแต่ครอบครัว โรงเรียน ชุมชนทุกขนาด โดยต้องฝีกการมีจิตสำนึก และร่วมแรงร่วมใจช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่ในชุมชนของตนเอง เช่น
o  ชุมชนที่มีป่าไม้ หรือ ส่วนป่า ต้องช่วยกันรักษา และดูแลไม่ให้มีการลักลอบตัดไม้ โดยไม่ขออนุญาต และช่วยกันปลูกต้นไม้ในชุมชนเพิ่มขึ้นจากเดิม เพราะต้นไม้สร้างอากาศดี กำจัดมลพิษทางอากาศ ให้ความชุ่มชื้น และรักษาแหล่งน้ำ รักษาดิน รวมทั้งเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ตามธรรมชาติอีกด้วย
o  ชุมชนที่อยู่ติดชายทะเล เป็นหาดทราย หรือหาดหิน ก็ต้องช่วยกันดูแลและรักษาความสะอาดของบริเวณชายหาด จัดที่รองรับขยะ และนำไปทำลายให้ถูกวิธี เพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว และพักผ่อนของผู้มาเที่ยว รวมทั้งคนที่อยู่ในชุมชนนี้
o  ชุมชนที่เป็นป่าชายเลน ต้องช่วยกันดูแลรักษาความสะอาด เพื่อให้เป็นแหล่งที่อยู่ และแหล่งเพาะพันธุ์ของสัตว์น้ำ มิให้สูญพันธุ์ ห้ามทิ้งขยะ และสิ่งปฏิกูลลงในแหล่งน้ำโดยเด็ดขาด ต้องช่วยกันสอดส่องคนที่มักง่าย และชอบทำลายสิ่งแวดล้อมด้วย

     4.     ลักษณะทางกายภาพทางภูมิศาสตร์
ลักษณะทางกายภาพ หมายถึง สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติของพื้นที่ที่อยู่บนพื้นผิวโลก ซึ่งมีของเขตและบริเวณที่แตกต่างกันไปตามขนาด เช่น ลักษณะทางกายภาพของบ้าน โรงเรียน ชุมชน จังหวัด ภูมิภาค และประเทศ รวมทั้งโลก องค์ประกอบทางกายภาพ มี 3 อย่าง คือ
ก.     ลักษณะภูมิประเทศ
ลักษณะภูมิประเทศ เป็นลักษณะพื้นที่ของโลกที่มีความสูงต่ำ เป็นพื้นดิน หรือพื้นน้ำ เช่น ที่ราบ ที่ราบสูง ภูเขา แม่น้ำ ชายทะเล ทะเล มหาสมุทร
ข.     ลักษณะภูมิอากาศ
ลักษณะภูมิอากาศ เป็นลักษณะอากาศโดยทั่วไปของบริเวณพื้นผิวโลกในแต่ละแห่ง มีระยะนานต่อเนื่องเป็นฤดูกาล บริเวณบางแห่งจะร้อนยาวนาน มีทั้งร้อนชื้น และร้อนแห้งแล้ง บางแห่งอบอุ่น ไม่ร้อนหรือหนาวจนเกินไป บางแห่งเป็นเขตหนาวเย็นยาวนาน มีหีมะและน้ำแข็ง ลักษณะภูมอากาศจะบอกอุณหภูมิ ปริมาณน้ำฝน ทิศทางของลมประจำ ความกดอากาศ

ค.     ทรัพยากรธรรมชาติ
ทรัพยากรธรรมชาติ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ มนุษย์ได้นำมาใช้ประโยชน์ต่อการดำรงชีวิต จึงเป็นสิ่งที่มีคุณค่า เช่น ป่าไม้ สัตว์ พืช แร่ธาตุ แหล่งน้ำ ดิน
ชุมชนแต่ละแห่งมีลักษณะทางกายภาพที่ไม่เหมือนกัน ทำให้มีผลต่อการประกอบอาชีพ เพื่อการดำรงชีวิตของคนในชุมชน ดังนั้น ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ทำให้มีทรัพยากรธรรมชาติที่แตกต่างกัน และเป็นปัจจัยสำคัญทีทำให้คนแต่ละชุมชนมีอาชีพ และการดำรงชีพที่ต่างกันไป ได้แก่
o  ชุมชนที่อยู่ในภูมิประเทศที่ต่ำ มีน้ำท่วมถึง จะมีการจับสัตว์น้ำต่าง ๆ เช่น ชุมชนชาวประมง
o  ชุมชนที่อยู่ในภูมิประเทศที่เป็นที่ราบลุ่ม หรือที่ราบริมแม่น้ำ ซึ่งเหมาะแก่การปลูกพืช จำพวกข้าว ผัก ผลไม้ ส่วนมากจะเป็นชุมชนชาวนา ชาวสวน
o  ชุมชนที่อยู่ในภูมิประเทศที่ราบสูง เป็นที่ดอน น้ำท่วมไม่ถึง ซึ่งปลูกพืชไร่ได้ดี เช่น ข้าวโพด มันสำปะหลัง ฝ้าย ส่วนมากจะเป็นชุมชนชาวไร่
o  ชุมชนที่อยู่ในภูมิประเทศที่สูง หรือมีภูเขา มีคนอยู่ไม่มาก อาจจะเลี้ยงสัตว์ หรือ พืชบางชนิดที่ชอบอากาศเย็น

     5.      องค์ประกอบทางภูมิศาสตร์
ในการเรียนรู้เรื่องภูมิศาสตร์ ซึ่งเป็นความรู้เกี่ยวกับลักษณะของพื้นที่บนผิวโลกทางกายภาพ ซึ่งเป็นเรื่องของขนาดพื้นที่ที่กว้างใหญ่ และระยะทางที่ยาวไกลมาก จนเกินสายตาของมนุษย์ จึงต้องมีองค์ประกอบทางภูมิศาสตร์ เป็นสิ่งที่ช่วยให้การเรียนพื้นที่บนผิวโลกได้เข้าใจง่ายขึ้น และเข้าใจตรงกัน ดังนี้
1)     ลักษณะทางกายภาพของพื้นผิวโลก
พื้นผิวโลกทั้งหมด ประกอบด้วย 2 ส่วนด้วยกัน คือ
(1)   ส่วนที่เป็นพื้นดิน เป็นบริเวณที่ตั้งบ้านเรือน ที่อยู่อาศัยของมนุษย์ มีการแบ่งเขตพื้นดินที่เป็นผืนใหญ่ เรียกว่า ทวีป ซึ่งแบ่งได้เป็น 7 ทวีป ดังนี้ ทวีปเอเชีย ทวีปยุโรป ทวีปแอฟริกา ทวีปอเมริกาเหนือ ทวีปอเมริกาใต้ ทวีปแอนตาร์กติก และทวีปออสเตรเลีย แต่ละทวีปประกอบด้วย ดินแดนของประเทศต่าง ๆ ทวีปที่มีบริเวณกว้างใหญ่ที่สุด คือ ทวีปเอเชีย และทวีปที่มีขนาดพื้นที่เล็กที่สุด คือ ทวีปออกเตรเลีย
(2)   ส่วนที่เป็นพื้นน้ำ พื้นผิวโลกที่เป็นพื้นน้ำ จะมีบริเวณติดต่อกันกว้างใหญ่กว่าพื้นดิน พื้นน้ำที่มีบริเวณกว้างใหญ่ที่สุดเรียกว่า มหาสมุทร ขอบเขตของมหาสมุทรแบ่งเป็น 5 มหาสมุทร คือ มหาสมุทรแปซิฟิก มหาสมุทรแอตแลนติก มหาสมุทรอินเดีย มหาสมุทรอาร์กติก และมหาสมุทแอนตาร์กติก
มหสมุทรที่มีบริเวณกว้างมากที่สุด คือ มหาสมุทรแปซิฟิก

2)    ตำแหน่งที่ตั้ง
ตำแหน่งที่ตั้ง เป็นจุดกำหนดคงที่ของสถานที่บนพื้นผิวโลก ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เช่น ประเทศไทยตั้งอยู่ในทวีปเอเชีย ประเทศอังกฤษ ตั้งอยู่ในทวีปยุโรป ซึ่งถ้าเราเรียนในระดับสูงขึ้น ตำแหน่งที่ตั้งของสถานที่จะมีรายลเอียดเพิ่มมากขึ้น

3)    ระยะทาง
ระยะทางเป็นความยาวที่วัดพื้นที่ทั้งแนวตั้งและแนวนอน หน่วยวัดความยาวของระยะทาง มี 2 มาตรา คือ
(1)   มาตราเมตริก มีหน่วยวัดความยาว ดังนี้
10 มิลลิเมตร            =        1 เซนติเมตร
100 เซนติเมตร         =        1 เมตร
1,000 เมตร             =        1 กิโลเมตร
(2)   มาตรอังกฤษ มีหน่วยวัดความยาว ดังนี้
12 นิ้ว           =        1 ฟุต
3 ฟุต            =        1 หลา
1,760 หลา     =        1 ไมล์

ดังนั้น หน่วยวัดระยะทางของพื้นผิวโลก จะใช้หน่วยความยาวที่สุด คือ กิโลเมตร หรือ ไมล์

4)    ทิศ
ทิศ หมายถึง ทางหรือด้านที่กำหนด เพื่อบอกตำแหน่งของสิ่งต่าง ๆ บนพื้นผิวโลก โดยอาศัยดวงอาทิตย์ หรือดวงจันทร์ และดวงดาวเป็นหลักในการหาทิศ
(1)   เวลากลางวัน ดวงอาทิตย์ขึ้นตอนเช้าทางทิศตะวันออก และตอนเย็นดวงอาทิตย์จะลับหายไปทางทิศตะวันตก เป็นประจำทุกวันไม่เปลี่ยนแปลง
(2)   เวลากลางคืน สังเกต และดูได้จากดวงจันทร์ ทิศที่ดวงจันทร์เต็มดวงขึ้นทางทิศตะวันออก และทิศที่ดวงจันทร์ตก คือ ทิศตะวันตก ถ้าเป็นคืนเดือนมืด เราสังเกตทิศได้จากดวงดาว คือ ดาวเหนือ ซึ่งจะขึ้นทางทิศเหนือเสมอ และมีแสงสุกใสกว่าดาวดวงอื่น
(3)   ทิศสำคัญที่ควรรู้ มี 4 ทิศ คือ ทิศเหนือ ตรงข้ามทิศใต้ และทิศตะวันออก ตรงข้ามทิศตะวันตก ตามแผนภาพ
(4)   วิธีการหาทิศ โดยยืนกางแขนให้ข้างขวาชี้ไปทางที่ดวงอาทิตย์ขึ้น จะเป็นทิศตะวันออก แขนซ้ายที่ตรงข้ามกันเป็นทิศตะวันตก ทางที่อยู่ข้างหน้าคือ ทิศเหนือ และทางที่อยู่ด้านหลังคือ ทิศใต้
ทิศมีความสำคัญในการกำหนดตำแหน่งของสถานที่บนพื้นผิวโลกให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น ประเทศไทย ตั้งอยู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปเอเชีย เป็นต้น
ถ้าลากเส้นสมมติในแนวนอน โดยแบ่งโลกให้เป็น 2 ซีกเท่า ๆ กัน ก็จะเป็นซีกโลกเหนือ และซีกโลกใต้ ซึ่งประเทศไทยอยู่ในซีกโลกเหนือ


5)     ขนาดและรูปร่าง
ขอบเขตของพื้นที่ต่าง ๆ บนพื้นผิวโลก จะมีขนาดและรูปร่างที่แตกต่างกันมาก เป็นองค์ประกอบอย่างหนึ่งทางภูมิศาสตร์ ที่ใช้เปรียบเทียบกัน เช่น ขนาดของพื้นที่ของบ้าน ต้องเล็กกว่าขนาดพื้นที่ของโรงเรียนและชุมชน จังหวัดเป็นชุมชนขนาดใหญ่ หลาย ๆ จังหวัดรวมเป็นประเทศ แต่ละประเทศก็จะมีขนาดพื้นที่ และรูปร่างแตกต่างกัน เช่น
ถ้าเราดูแผนที่ทวีปเอเชีย จะเห็นว่า ประเทศไทย มีขนาดพื้นที่ใหญ่กว่าประเทศมาเลเซีย แต่มีขนาดพื้นที่เล็กกว่าประเทศจรี รูปร่างของประเทศไทยคล้ายขวานโบราณ

6)     ภูมิประเทศ
ภูมิประเทศ หมายถึง สภาพพื้นผิวโลกที่ประกอบด้วยพื้นดิน และพื้นน้ำดังกล่าวไปแล้ว ซึ่งลักษณะภูมิประเทศจะบอกรูปลักษณะ ขนาด และมีชื่อเรียกตามสภาพที่แตกต่างกัน ดังนี้
o  ภูเขา คือ บริเวณผิวโลกที่มีความสูงกว่าพื้นธรรมดา ส่วนมากจะเป็นเนินหิน สูงเป็นจอมขึ้นไป มักจะสูงต่อกันเป็นแนวยาว เรียกว่า เทือกเขา หรือทิวเขา บางแห่งจะมีถ้ำ บางแห่งที่มีป่าไม้จะเป็นต้นกำเนิดของต้นน้ำลำธาร อาจมีน้ำตกไหลลงหน้าผาของภูเขา
o  ที่ราบ คือ บริเวณผิวโลกที่อยู่ระดับปกติ ประกอบไปด้วย พื้นดิน ซึ่งมักจะเป็นที่อยู่อาศัย และที่เพาะปลูกของมนุษย์
o  ทะเลทราย คือ บริเวณแผ่นดินกว้างใหญ่ที่มีแต่ทราย และมีความแห้งแล้วมาก
o  ลำธาร คือ ทางน้ำเล็ก ๆ ที่เกิดจากการดูดซับของป่าไม้ ไหลจากภูเขาลงมา
o  แม่น้ำ คือ ลำน้ำใหญ่ ซึ่งเป็นที่รวมของลำธาร
o  ทะเล คือ พื้นน้ำอันกว้างใหญ่ เป็นส่วนของมหาสมุทร ส่วนที่เป็นรอยต่อของพื้นดิน และทะเล จะมีลักษณะเว้าแหว่ง เป็นโขดหิน หน้าผา หาดทราย
o  เกาะ คือ พื้นดินที่มีน้ำล้อมรอบ มักอยู่ในทะเลหรือมหาสมุทร
o  อ่าว คือ บริเวณที่พื้นน้ำเว้าเข้ามาในพื้นดิน
o  แหลม คือ บริเวณของพื้นดินที่ยื่นออกไปในทะเล
o  มหาสมุทร คือ ส่วนของพื้นน้ำที่กว้างใหญ่ที่สุด


7)     แผนผังและแผนที่เบื้องต้น
แผนผังและแผนที่ เป็นแบที่เขียนย่อ เพื่อแสดงพื้นที่ หรือบริเวณ และแสดงตำแหน่งที่ตั้งของสถานที่สำคัญในบริเวณนั้นให้เกิดความเข้าใจตรงกัน เป็นแบบย่อภาพรวมที่แสดงองค์ประกอบทางภูมิศาสตร์ ในระดับนี้ ฝึกการดูและการอ่านให้รู้เรื่อง สามารถบอกระยะทางที่ห่างกันของตำแหน่ง ว่าใกล้ หรือไกล บอกทิศทางได้ถูกต้อง รวมทั้งเปรียบเทียบขนาดของพื้นที่ได้ด้วย
แผนผังและแผนที่ เป็นเครื่องมือทางภูมิศาสตร์ที่สำคัญอย่างหนึ่ง ที่ทำให้เกิดการเรียนรู้เกี่ยวกับลักษณะของพื้นที่บนโลกในภาพรวมเบื้องต้น
(1)   แผนผัง คือแบบเขียนย่อแสดงตำแหน่งที่ตั้งของสิ่งต่าง ๆ ในบริเวณที่ไม่กว้างมาก มีรายละเอียดน้อย แผนผังส่วนมากจะแสดงเกี่ยวกับบ้านและบริเวณ ห้องเรียนโรงเรียน ชุมชน ซึ่งเรื่องแผนผังนี้ ได้กล่าวและแสดงตัวอย่างที่แผนผังห้องเรียน แผนผังของบ้าน และแผนผังของโรงเรียนไว้แล้ว ในระดับชั้นนี้ จึงเป็นตัวอย่างแผนผังของชุมชน
(2)   แผนที่ คือ แบบที่เขียนย่อบอกลักษณะพื้นที่และสิ่งสำคัญของพื้นที่นั้น โดยใช้สัญลักษณ์ หรือเครื่องหมายแทนสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น ได้แก่ แม่น้ำ ทะเล ภูเขา เมืองสำคัญ ขอบเขตของประเทศ ชื่อประเทศใกล้เคียง

8)     เครื่องมือทางภูมิศาสตร์
เครื่องมือทางภูมิศาสตร์ หมายถึง อุปกรณ์ หรือเครื่องมือเครื่องใช้ รวมทั้งสื่อในการเรียนรู้ หรือจัดทำข้อมูลจากการสำรวจเกี่ยวกับลักษณะของพื้นผิวโลกทางกายภาพ ทั้งนี้เพราะพื้นที่ผิวโลกมีขนาดและระยะทางที่กว้างขวางมาก จึงต้องมีเครื่องมือทางภูมิศาสตร์ช่วยให้เกิดความเข้าใจ และรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ของพื้นที่ได้สะดวก ใกล้เคียงกับลักษณะทางกายภาพที่เป็นจริง เครื่องมือทางภูมิศาสตร์ที่ควรทราบ มีดังนี้

(1)   เครื่องมือที่ใช้ในการสร้างแผนผัง แผนที่ ได้แก่
o  ไม้บรรทัด ใช้วัดระยะสิ่งของที่มีขนาดเล็ก เช่น โต๊ะ เก้าอี้
o  ตลับเมตร ใช้วัดระยะทางที่มีความยาวมากขึ้น เช่น ความกว้าง ความยาวของห้อง ความกว้างของประตู หน้าต่าง
o  เข็มทิศ ใช้หาตำแหน่ง หรือทิศทาง

(2)   เครื่องมือที่ใช้ประกอบการศึกษาเรียนรู้ทางภูมิศาสตร์ บางอย่างมีการจัดทำไว้แล้ว เพื่อให้เราได้รู้จักสืบค้นข้อมูลต่าง ๆ ตามต้องการ บางอย่างต้องสืบค้นจากแหล่งเรียนรู้เอง ได้แก่
o  แผนผัง ที่เป็นแบบเขียนย่อจากสถานที่จริงในบริเวณแคบ ไม่มีรายละเอียดมาก เพียงแต่บอกที่ตั้ง หรือตำแหน่งที่ต้องการให้ทราบ
o  แผนที่ คือ แบบที่เขียนย่อ แสดงให้รู้และเข้าใจลักษณะพื้นที่บนพื้นผิวโลก การศึกษาจากแผนที่ทำให้เราเข้าใจได้ตรงกันและรวดเร็ว ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายมากกว่าที่จะไปศึกษาสถานที่จริง แผนที่เป็นเครื่องมือทางภูมิศาสตร์ที่สำคัญ สามรถแสดงข้อมูลต่าง ๆ ของวิชาสังคมศึกษาได้หลายสาระ
o  ลูกโลกจำลอง มีลักษณะคล้ายแผนที่ แต่เป็นรูปทรงกลม แสดงพื้นที่บนผิวโลกที่ต่อเนื่องได้ทั้งหมด และบอกตำแหน่งที่ตั้งได้ชัดเจนคล้ายสภาพจริง
o  แผนที่เล่ม คือ ลักษณะของหนังสือที่แสดงแบบเขียนย่อของพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ เพื่อศึกษาเรียนรู้เรื่องแผนที่ได้หลายเรื่องในเล่มเดียวกัน

Download - เนื้อหา

















คู่มือเตรียมสอบ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ป.1 - 2 - 3 ___ สังคม ป.3 - บทที่ 1 ชุมชนระดับตำบล (แบบทดสอบ)

คู่มือเตรียมสอบ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ป.1 - 2 - 3 ___ สังคม ป.3 - บทที่ 1 ชุมชนระดับตำบล (แบบทดสอบ)









Blog เพื่อนการศึกษา

***Blog เพื่อนการศึกษา*** ***สรุปเนื้อหา*** **สรุปเนื้อหา ม.456 สรุปเนื้อหา ชีววิทยา ม.456 สรุปเนื้อหาเข้า ป.1 - ม.6 สรุปเนื้อหา - วิชาสังคม...