วันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

คู่มือเตรียมสอบ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ป.1 - 2 - 3 ___ สังคม ป.3 - บทที่ 5 สืบค้นเวลา และความเป็นมาของชาติไทย (เนื้อหา)

คู่มือเตรียมสอบ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ป.1 - 2 - 3 ___ สังคม ป.3 - บทที่ 5 สืบค้นเวลา และความเป็นมาของชาติไทย (เนื้อหา)


Download - เนื้อหา 


บทที่ 5 สืบค้นเวลา และความเป็นมาของชาติไทย




     1.      ประวัติศาสตร์สัมพันธ์กับเวลา
ความหมายและความสำคัญของประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์ คือ การเรียนรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นมาแล้ว และผ่านไปตามเวลา เรื่องที่มีความสำคัญ หรือมีการเปลี่ยนแปลงที่มีผลต่อความเป็นอยู่ของกลุ่มคนอย่างมาก ได้มีการบันทึกไว้ด้วยวิธีการหลายแบบ ทำให้ผู้ที่เกิดมาทีหลังได้รับรู้ว่าเรื่องราวที่สำคัญนั้นเกิดขึ้นได้เมื่อใด มีผลอย่างไร ต่อมาถึงปัจจุบัน ประวัติศาสตร์จึงมีความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับเวลาเป็นอย่างยิ่ง
ความสำคัญของประวัติศาสตร์ คือ ทำให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ และเข้าใจถึงเหตุการณ์สำคัญที่ผ่านมาแล้ว ซึ่งมีผลต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้คนในขณะนี้ จึงต้องมีข้อมูล หลักฐาน ลำดับเหตุการณ์ต่อเนื่อง สาเหตุที่เกิดขึ้น และผลของเหตุการณ์ที่ผ่านไป

    2.     เรื่องของเวลาและวันเดือนปี
1)     การเกิดเวลา
เราอาศัยอยู่บนโลก ซึ่งโลกเป็นดาวเคราะห์ที่มีการหมุนรอบตัวเอง และหมุนรอบดวงอาทิตย์ด้วย
ดวงจันทร์เป็นดาวเคราะห์ที่มีการหมุน 3 แบบ คือ หมุนรอบตัวเอง และหมุนรอบโลก และหมุนรอบดวงอาทิตย์ไปพร้อมกับโลกด้วย
ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ที่มีพลังงานแสงสว่าง และพลังงานความร้อนอย่างมหาศาล จึงเป็นศูนย์กลางที่มีดาวเคราะห์ต่าง ๆ หมุนรอบดวงอาทิตย์ ดังนั้น การหมุนของโลก และดวงจันทร์ จึงเกิดปรากฎการณ์ธรรมชาติ คือ เวลา วัน เดือน ปี ดังนี้
o  เวลา 24 ชั่วโมง คือ 1 วัน เกิดจากการหมุนรอบตัวเองของโลก 1 รอบ เป็นเวลากลางวัน 12 ชั่วโมง เริ่มตั้งแต่ เช้า สาย เที่ยง บ่าย เย็น และเป็นเวลากลางคืน 12 ชั่วโมง ตั้งแต่ ย่ำค่ำ ดึก ไปจนถึงย่ำรุ่ง
o  เวลา 1 เดือน เกิดจากการหมุนของดวงจันทร์รอบโลก 1 รอบ เป็นเวลา 29 – 30 วัน หรือ 1 เดือน โดยเริ่มจากหันด้านสว่างเพิ่มขึ้นในแต่ละคืนในเวลา 15 คืน ดวงจันทร์สว่างเต็มดวง เรียกว่า ข้างขึ้น
เมื่อมองเห็นดวงจันทร์เต็มดวงในคืน 15 ค่ำ แล้ว ต่อไปเป็นคืนแรม 1 ค่ำ จนถึงแรม 14 ค่ำ หรือ 15 ค่ำ ดวงจันทร์จะค่อย ๆ แหว่งหายไป เพราะหันด้านมือให้เราเห็น ดวงจันทร์ครึ่งดวง จนถึงเสี้ยวเล็ก ๆ และมองไม่เห็นดวงจันทร์เลยทั้งคืน เรียกว่า ข้างแรม ซึ่งมีระยะเวลา 14 – 15 คืน
o  เวลา 1 ปี เกิดจากการหมุนของโลกรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบ ซึ่งในขณะที่โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์นั้น โลกก็หมุนรอบตัวเองเป็นเวลา 365   วัน  และในขณะเดียวกันที่ดวงจันทร์ หมุนรอบโลกได้ 12 รอบด้วย
สรุป การเกิดช่วงเวลาตามที่กล่าวไป จะเกิดปรากฎการณ์ธรรมชาติที่มีผลต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ ดังนี้
o  1 วัน มี 24 ชั่วโมง แต่ละวันจะเกิดกลางวันและกลางคืน
o  1 เดือนมี 29 – 30 วัน แต่ละเดือนจะเกิดข้างขึ้นและข้างแรม
o  1 ปี มี 12 เดือน หรือ 365 วัน กับอีก 6 ชั่วโมง ดังนั้นในช่วงเวลา 4 ปี จึงต้องมีวันเพิ่มอีก 1 วัน เป็น 366 วัน โดยเพิ่มอีก 1 วัน ในเดือนกุมภาพันธ์ ทำให้ปีนั้นเดือนกุมภาพันธ์มี 29 วัน ในรอบ 1 ปี จะเกิดฤดูกาลต่าง ๆ เช่น ฤดู ร้อน ฤดูฝน ฤดูหนาว

2)    การนับปีตามศาสนา
การนับปีตามศาสนาที่สำคัญควรรู้ คือ
(1)   พุทธศักราช (พ.ศ.) คือ จำนวนปีที่นับตั้งแต่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน โดยนับ พ.ศ. 1 เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว 1 ปี เป็นการนับปีของผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนา
(2)   คริสต์ศักราช (ค.ศ.) คือ จำนวนปีที่นับตั้งแต่วันประสูติของพระเยซู เป็นการนับปีของผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ ซึ่งเป็นที่รู้จัก และยอมรับเป็นหลักสากลทั่วโก คริสต์ศักราชเกิดหลังพุทธศักราชเป็นเวลา 543 ปี
(3)   ฮิจเราะห์ศักราช คือ จำนวนปีที่นับตั้งแต่วันหนีภัยของพระนบีมูฮัมมัด เป็นการนับปีของผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม ฮิจเราะห์ศักราชเกิดหลักพระพุทธศาสนาเป็นเวลา 1,124 ปี
    
3)    การนับวัน เดือน ปี ตามแบบจันทรคติ หรือ แบบไทย
การนับวัน เดือน ปี ตามแบบจันทรคติ หรือแบบไทย หมายถึง การนับช่วงเวลา โดยยึดการโคจรของดวงจันทร์เป็นหลัก ดังนี้
o  การนับวัน จะนับวันเป็นข้างขึ้น 15 วัน และข้างแรม 14 – 15 วัน เริ่มต้นจากข้างขึ้นที่ยังมองไม่เห็นดวงจันทร์ แล้วคืนต่อมา ค่อยสว่างขึ้นจนเต็มดวง เป็นเวลา 15 วัน เรียกวันขึ้น 15 ค่ำ ที่มีดวงจันทร์เต็มดวงว่า คืนเดือนหงาย
ต่อจากนั้น เริ่มวันแรม 1 ค่ำ ที่พระจันทร์ยังคงเต็มดวงอยู่แล้วค่อย ๆ แหว่งหายไป จนถึง 14 – 15 วัน ดวงจันทร์จะมืดทั้งดวง ช่วงนี้เรียกว่า ข้างแรม ซึ่งวันแรม 14 – 15 ค่ำ เรียกว่าคืนเดือนมืด
o  การนับเดือน ในทางจันทรคติจะเรียกตามลำดับเดือน โดย 2 เดือนแรก จะมีชื่อเรียนเฉพาะ คือ
§  เดือนที่ 1 เรียก เดือนอ้าย
§  เดือนที่ 2 เรียก เดือนยี่
§  เดือนที่ 3 ถึงเดือนที่ 12 เรียกตามลำดับ ว่า เดือน สาม เดือน สี่ ไปจนถึงเดือนสิบสอง
เนื่องจากเดือนทางจันทรคติมี 2 ลักษณะ คือ
(1)   เดือนคี่ หรือ เดือน ขาด มี 29 วัน คือ มีวันข้างขึ้น 15 วัน และวันข้างแรม 14 วัน ได้แก่ เดือนอ้าย เดือนสาม เดือนห้า เดือนเจ็ด เดือนเก้า และเดือนสิบเอ็ด
(2)   เดือนคู่ หรือเดือนเต็ม มี 30 วัน  คือ มีวันข้างขึ้น 15 วัน และวันข้างแรม 15 วัน ได้แก่ เดือนยี่ เดือนสี่ เดือนหก เดือนแปด เดือนสิบ และเดือนสิบสอง
การนับวัน และเดือนทางจันทรคตินี้ ยังมีใช้กันอยู่วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา และทางประเพณี เช่น
1)     วันมาฆบูชา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3
2)     วันวิสาขบูชา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6
3)     วันอาสาฬหบูชา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8
4)     วันเข้าพรรษา ตรงกับวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8
5)     วันลอยกระทง ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12

o  การนับปี ในทางจันทรคติ หรือ นับปีแบบไทย จะนับตามปีนักษัตร กำหนด 12 ปี เป็น 1 รอบ แต่ละปี มีสัญลักษณ์สำคัญเป็นสัตว์ประจำปี เช่น
1 ปี ชวด – หนู , 2 ปี ฉลู – วัว , 3 ปีขาล – เสือ ไปจนถึง 12 ปีกุน – หมู

วิธีเขียน และอ่านการบอกเวลาทางจันทรคติ
เขียนโดยใช้ตัวเลขไทย และสัญลักษณ์ โดยมีวิธีการอ่าน เช่น
 อ่านว่า วันอังคาร ขึ้น 7 ค่ำ เดือน อ้าย
 อ่านว่า วันศุกร์ แรม 9 ค่ำ เดือนแปด

ความหมายของการเขียน และอ่านเวลาทางจันทรคติ
§  เลขตัวแรก หมายถึง ชื่อของวันใน 1 สัปดาห์ เริ่มวันอาทิตย์ คือเลข ๑
§  ตัวเลขที่อยู่บนเครื่องหมายไปยาลน้อย (ฯ) หมายถึง ข้างขึ้น
§  ตัวเลขที่อยู่ล่างเครื่องหมายไปยาลน้อย (ฯ) หมายถึง ข้างแรม
§  ตัวเลขตัวสุดท้าย หมายถึง ลำดับเดือน

4)    การนับวัน เดือน ปี ตามแบบสุริยคติ หรือแบบสากล
การนับวัน เดือน ปี ตามแบบสุริยคติ หรือแบบสากล หมายถึง การนับช่วงเวลา โดยยึดการโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์เป็นหลัก ดังนี้
o  การนับวัน เป็นการนับระยะเวลาที่โลกหมุนรอบตัวเอง 1 รอบ ใช้เวลา 24 ชั่วโมง การกำหนดวัน มี 2 แบบ คือ
(1)   กำหนดชื่อวัน 7 วัน เริ่มต้นจาก วันอาทิตย์ วันจันทร์ วันอังคาร วันพุธ วันพฤหัสบดี วันศุกร์ และ วันเสาร์ เรียกว่า เป็นเวลา 1 สัปดาห์
(2)   กำหนดเป็นวันที่ โดยใช้ตัวเลข ในเวลา 1 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 ถึงวันที่ 30 หรือ วันที่ 31
o  การนับเดือน เป็นการนับระยะเวลาที่ดวงจันทร์ โคจรหรือหมุนรอบโลก 1 รอบ ใช้เวลาประมาณ 30 หรือ 31 วัน มีทั้งหมด 12 เดือน โดยเริ่มต้นเดือนแรกคือ เดือนมกราคม จนถึงเดือนที่ 12 คือ เดือนธันวาคม
§  เดือนที่ลงท้ายด้วยคม ใน 1 เดือน มี 31 วัน เป็นจำนวน 7 เดือน
§  เดือนที่ลงท้ายด้วยยน ใน 1 เดือน มี 30 วัน เป็นจำนวน 4 เดือน
§  เดือน กุมภาพันธ์ มี 28 หรือ 29 วัน
o  การนับปี เป็นการนับระยะเวลาที่โลกและดวงจันทร์หมุนรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบ เป็นเวลา 365 วัน 6 ชั่วโมง พอครบ 4 ปี ต้องเพิ่มอีก 1 วัน เป็น 366 วัน โดยเพิ่มในเดือนกุมภาพันธ์ในปีนั้นมี 29 วัน จึงเรียกปีที่เดือนกุมภาพันธ์มี 29 วัน หรือ ปีที่มีจำนวน 366 วันว่า ปี อธิกสุรทิน

การนับปีตามแบบสุริยคติ จะนับปีตามศาสนา คือ จะมีคำว่า พุทธศักราช (พ.ศ.) หรือ คริสต์ศักราช (ค.ศ.) อยู่หน้าตัวเลขจำนวนปีตามศาสนา
วิธีเขียนหรืออ่านวัน เดือน ปี ตามแบบสุริยคติ หรือ แบบสากล เช่น
วันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 หรือ
      วันที่  19 พฤษภาคม ค.ศ. 2008


     3.     การเปรียบเทียบเวลาตามที่ปรากฏในปฏิทิน
ปฏิทิน คือ เครื่องมือในการบอกเวลา เป็นวัน เดือน ปี โดยมีการจัดพิมพ์ 3 แบบ คือ แบบรายวัน แบบรายเดือน และแบบรายปี แต่ส่วนมากนิยมจัดพิมพ์แบบรายเดือน
การเปรียบเทียบเวลาทั้งทางจันทรคติ และทางสุริยคตินั้น เราสามารถดูได้จากปฏิทินที่เป็นรายเดือน ซึ่งจะสะดวกและมีรายละเอียดมากกว่าแบบอื่น






ตัวอย่างปฏิทิน เดือนตุลาคม พ.ศ. 2551
          ตามตัวอย่าง เดือนตุลาคม พ.ศ. 2551 นี้ แสดงให้เห็นการบอกเวลาทางสุริยคติ และทางจันทรคติ คือ
o  วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 เป็นวันออกพรรษา และเป็นวันพระด้วย เป็นการนับทางจันทรคติ ซึ่งตรงกับทางสรุยคติ คือ วันอังคารที่ 14 ตุลาคม
o  วันที่ 23 ตุลาคม เป็นวันปิยมหาราช หมายถึง วันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ราชกาลที่ 5 เป็นการนับทางสุริยคติ
o  นอกจากนี้ยังบอกวันที่เป็นวันพระ ซึ่งตรงกับวันขึ้น 8 ค่ำ วันขึ้น 15 ค่ำ วันแรม 8 ค่ำ และวันแรม 14 หรือ 15 ค่ำ ด้วย





       4.      ข้อมูลและวิธีการศึกษาประวัติศาสตร์
1)     แหล่งข้อมูลทางประวัติศาสตร์
การเรียนรู้เรื่องต่าง ๆ ในอดีตที่ผ่านไป ต้องมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์เป็นข้อมูลในการประกอบเหตุผลจากการศึกษาค้นคว้า และเป็นสิ่งอ้างอิงที่เชื่อมั่นได้ว่าเป็นไปได้จริง หลักฐานและร่องรอยทางประวัติศาสตร์ ที่เรียกว่า แหล่งข้อมูลทางประวัติศาสตร์ มีลักษณะที่ใช้อ้างอิงได้ 3 ประเภท คือ
1)  สถานที่ ได้ที่ ที่ตั้งของชุมชนเก่าแก่ โบราณสถานที่เป็นสิ่งก่อนร้างมานานนับพันปี หรือร้อยปี เช่น ปราสาทหิน วัด เจดีย์ โบสถ์ วิหาร อนุสาวรีย์ ภาพแกะสลัก หรือภาพเขียนตามฝาผนังในถ้ำ หรือตามภูเขา แต่ละแห่งย่อมมีเรื่องราวและประวัติที่มาของการสร้างในอดีต
2)   วัตถุ ได้แก่ สิ่งของเครื่องใช้ที่เคลื่อนย้ายได้ ส่วนมากมีการรวบรวมจัดเก็บไว้ตามพิพิธภัณฑ์ หรือตามวัดบางแห่ง เพื่อให้คนรุ่นหลังได้รู้จักและศึกษา เช่น พระพุทธรูป เครื่องประดับโบราณ เครื่องปั้นดินเผา อาวุธ ถ้วยชามเครื่องใช้ต่าง ๆ
3)   ตัวอักษร ได้แก่ หลักศิลาจารึก จดหมายเหตุ วรรณคดี นิทาน พงศาวดาร ตำนาน บันทึกทางประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นหลักฐานที่บันทึกเป็นตัวอักษร ได้แสดงถึงวัฒนธรรมทางภาษา และต้องการให้คนรุ่นหลังได้รับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ในอดีต

2)    วิธีการศึกษาประวัติศาสตร์
ชุมชนหรือท้องถิ่นของเรา อาจมีประวัติหรือเรื่องราวความเป็นมาในอดีต ที่เป็นเหตุการณ์ หรือเรื่องของบุคคลที่น่าสนใจ ซึ่งวิธีการหารข้อมูลเพื่อศึกษาประวัติของท้องถิ่น รวมทั้งประวัติศาสตร์ของชาติไทยในเบื้องต้น มีดังนี้
(1)  ถามเรื่องราวจากบุคคล
เราสามารถซักถามประวัติที่มาของท้องถิ่น บุคคลที่ควรรู้จัก ประเพณี การทำมาหากินที่มีสืบต่อกันมาในชุมชน จากพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย หรือผู้รู้ในท้องถิ่น เช่น  พระสงฆ์ ครู คนเฒ่า คนเก่ ซึ่งบุคคลเหล่านี้ยินดีบอกเล่าเรื่องราวแก่ลูกหลานที่สนใจ นับว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามาก
(2) การไปศึกษาสถานที่จริง
เพื่อการศึกษาสถานที่สำคัญในท้องถิ่น หรือมีโอกาสได้ไปเที่ยวชมสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์แหล่งอื่นที่น่ารู้ จะทำให้เกิดการเรียนรู้ที่มีความหมาย สร้างความภูมิใจ ความรัก และหวงแหนสิ่งที่มีคุณค่าของชาติ ทางประวัติศาสตร์ เราทุกคนต้องมีจิตสำนึกที่ช่วยกันดูแลรักษา ไม่ทำลาย และหวงแหนสิ่งที่มีคุณค่าของประเทศ
(3) ศึกษาและสืบค้นข้อมูล
สถานที่บางแห่งเรายังไม่มีโอกาสได้ไปจริง แต่เราสามารถสืบค้นข้อมูลเพื่อศึกษาเรียนรู้ได้ โดยการอ่านเอกสาร หรือหนังสือที่บันทึกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ไว้มากมาย หรือค้นคว้าจากระบบการเก็บข้อมูลที่ทันสมัย ทำให้เราสามรถศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ที่สำคัญของชาติได้เป็นอย่างดี หากยังมีข้อสงสัยหรือยังสับสนอยู่ เราควรสอบถามจากครูหรือผู้ใหญ่เพื่อให้เข้าใจยิ่งขึ้น

5.      ประวัติความเป็นมาของชาติไทย
ชาติของเรา คือ ชาติไทย เป็นชาติที่เก่าแก่ มีความเป็นมาที่ยาวนาน มีขอบเขตของดินแดนที่มั่นคงเป็นปึกแผ่น และมีเอกราช ไม่อยู่ภายใต้การปกครองของชาติอื่น คนที่เกิดและอาศัยอยู่ในแผ่นดินไทย เรียกว่า คนไทย
1)     ความหมายของชาติและเอกราช
ชาติ มายถึง ประเทศ หรือแผ่นดินที่มีขอบเขตแน่นอน
เอกราช หมายถึง ความเป็นอิสระ มีเสรีภาพ ไม่อยู่ภายใต้การปกครองของชาติอื่น
ชาติไทยของเรา มีเรื่องราวที่เป็นประวัติศาสตร์มานานนับพันปี ในฐานะที่เราเป็นคนไทย จึงต้องเรียนรู้เรื่องของชาติไทยในอดีต เพื่อให้รู้เหตุการณ์ที่ต่อเนื่อง และเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงในแต่ละสมัย ตลอดจนให้เกิดความรู้สึกภาคภูมิใจในแผ่นดินไทยของเรา ที่มีบรรพบุรุษได้ยอมเสียสละชีวิตและเลือดเนื้อ เพื่อปกป้องรักษาแผ่นดินที่เป็นชาติไทยของเราด้วยความหวงแหนไว้ให้แก่ลูกหลานไทยของเรา
ดังนั้น คนไทยในยุคปัจจุบันต้องรู้และศึกษาประวัติศาสตร์ชาติไทย สำนึกในความเป็นไทย ที่มีขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติ ช่วยกันดูแลรักษาไว้ให้คงอยู่ตลอดไป โดยไม่เสื่อมสลาย
2)     กษัตริย์ผู้ทรงมีพระคุณของชาติไทย
เราได้เรียนรู้มาแล้วว่า ชาติไทยของเรามีพระมหากษัตริย์ คือ พระเจ้าแผ่นดิน ผู้ทรงเป็นประมุขของชาติ ทรงเป็นผู้นำในการปกป้องและรักษาดินแดนให้รอดพ้นจากข้าศึกที่จะเข้ามายึดครอง แม้บางครั้ง ประเทศชาติอาจจะประสบปัญหา แต่พระมหากษัตริย์ของเราทรงแก้ไขวิกฤติการณ์ต่าง ๆ ให้ผ่านพ้นไปได้ รวมทั้งทรงปรับปรุงและพัฒนาประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้าอย่างเหมาะสม เราเรียนรู้ว่ากษัตริย์ผู้สร้าง หมายถึง พระเจ้าแผ่นดินผู้ทรงสร้างอาณาจักร และปกครองพระองค์แรกของแต่ละยุคสมัย เรายังต้องเรียนรู้ถึงกษัตริย์ผู้มีพระคุณต่อคนไทยและชาติไทยอย่างมากมายมหาศาล และได้ถวายพระราชสมัญญาว่า มหาราช” หมายถึง พระมหากษัตริย์ ผู้ทรงมีคุณงามความดีที่ยิ่งใหญ่ และเป็นกษัตริย์ผู้มีพระคุณต่อชาติไทย
กษัตริย์ผู้มีพระคุณ หมายถึง พระเจ้าแผ่นดิน ผู้มีพระมหากรุณาธิคุณอย่างใหญ่หลวงต่อชาติไทย บางพระองค์ทรงกอบกู้เอกราชจากข้าศึกศัตรู บางพระองค์ทรงปกครองประเทศโดยสร้างความเจริญรุ่งเรืองในด้านต่าง ๆ มากมายเป็นพิเศษ เราควรทราบ ดังนี้
(1)   พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ในสมัยกรุงสุโขทัย ทรงคิดประดิษฐ์อักษรไทย ปกครองราษฎรให้มีความสุขความเจริญ ทรงรับศาสนาพุทธเข้ามรให้คนไทยศรัทธาและนับถือกันอย่างแพร่หลายมาจนถึงปัจจุบันนี้
(2)   สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ทรงมีความกล้าหาญในการรบ ทรงกอบกู้เอกราชของชาติ ที่ได้เสียกรุงครั้งที่ 1 เป็นเมืองขึ้นของข้าศึกถึง 15 ปี
(3)   สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ทรงทำนะบำรุงบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองมาก ทั้งในด้านการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ ความเจริญทางด้านศิลปวัฒนธรรม
(4)   สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ในสมัยกรุงธนบุรี ทรงกอบกู้เอกราชของชาติที่ได้เสียงกรุงศรีอยุธยาแก่ข้าศึกเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งมีความเสียหายรุนแรงมาก จึงทรงตั้งเมืองหลวงใหม่ที่กรุงธนบุรี พระองค์ทรงรวบรวมผู้คนที่แตกแยกออกไปให้กลับคืนมาเป็นชาติไทยเช่นเดิม
(5)   สมเด็จพระปิยมหาราช ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงพระนามว่า พระบาทสมเด็จระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เป็นสมัยที่มีการเปลี่ยนแปลงหลายอยางเพื่อเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ ทรงเลิกทาส ตั้งโรงเรียน ทรงปรับปรุงการปกครอง การคมนาคม และอื่น ๆ อีกหลายด้าน พระองค์ทรงได้รับการเทิดประเกียรติเป็น สมเด็จพระปิยมหาราช” หมายถึง พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ อันเป็นที่รัก และเคารพสักการะของปวงชนชาวไทย


3)     ภูมิปัญญา
ภูมิปัญญาไทย หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่คนไทยได้คิดทำขึ้น เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการดำรงชีวิตประจำวัน  เป็นความรู้ความสามารถโดยเฉพาะ ที่มีความสัมพันธ์กับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่นที่อาศัยแต่ละแห่ง ภูมิปัญญาไทยแสดงให้เห็นชัดเจนในเรื่องที่เกี่ยวกับการทำมาหากินและปัจจัย 4 อย่าง มีดังนี้
o  การทำมาหากิน คนไทยในแต่ละท้องถิ่นสมัยก่อน ได้คิดเครื่องมือเครื่องใช้ที่ช่วยในการทำงาน เพื่อให้ได้ผลผลิตที่ต้องการ เช่น การไถนา โดยใช้ไถคราดดินเพื่อปลูกข้าว การจับสัตว์น้ำโดยใช้เบ็ด ไซ สุ่ม ยอ ฯลฯ การทอผ้าโดยใช้กี่กระตุก เป็นต้น
o  อาหารไทย ใช้ผลผลิตที่เป็นพืชและสัตว์ในท้องถิ่นมาปรุงเป็นอาหารได้หลายอย่าง มีทั้งอาหารที่นิยมกินในแต่ละภาคของไทย เช่น ต้มยำกุ้ง แกเหลือง แกงฮังเล ข้าวเหนียวไก่ย่าง ส้มตำ อาหารไทยส่วนมากจะมีรสจัด
o  ที่อยู่อาศัย บ้านไทยมักจะสร้างด้วยไม้ ให้มีหลังคาสูงเพื่อระบายอากาศ และรับลมมีใต้ถุนสูงเพื่อให้พ้นน้ำท่วม และอันตรายจากสัตว์มีพิษ แต่ปัจจุบันที่อยู่อาศัยมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ที่เป็นตึก อยู่รวมกันหลายครอบครัว ต้องใช้เครื่องปรับอากาศ ทำให้ใช้ไฟฟ้ากันมาก
o  เครื่องนุ่งห่ม เรามีผ้าไทยที่เป็นผ้าไหม ผ้าฝ้าย ทอลวดลายสวยงาม นำมาตัดเป็นชุดที่งดงาม ซึ่งเป็นการแต่งชุดไทย และชุดสากลนิยมทั้งชายและหญิง
o  ยารักษาโรค คนไทยมีภูมิปัญญาที่นำตัวยารักษาโรคที่ได้จากพืชมากมาย เรียกว่า สมุนไพร ที่มีคุณภาพ ใช้รักษาอาการเจ็บป่วยได้หลายชนิด สมุนไพรบางอย่างมาจากพืชผักพื้นบ้านที่เป็นอาหารของเรา

4)     โบราณสถาน โบราณวัตถุ
โบราณสถาน โบราณวัตถุ เป็นสถานที่และสิ่งของต่าง ๆ ที่ได้สร้างมานานแล้ว และยังเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงวัฒนธรรมของไทยในอดีต บางอย่างเป็นร่องรอยที่ไม่ใช้การแล้ว บางอย่างยังคงใช้ประโยชน์อยู่
o  โบราณสถาน ในแต่ละท้องถิ่นส่วนใหญ่จะเป็นเจดีย์ วัดวาอาราม ซึ่งเป็นที่รู้จัก และเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ที่ทำให้เกิดอันตรายได้หลายแห่ง เช่น พระธาตุดอยสุเทพที่จังหวัดเชียงใหม่ เจดีย์พระธาตุจอมกิตติที่จังหวัดเชียงราย วัดพระศรีรัตนศาสดารามที่กรุงเทพมหานคร ปราสาทหินพิมายที่จังหวัดนครราชสีมา ปราสาทพนมรุ้งที่จังหวัดบุรีรัมย์ พระธาตุพนม ที่จังหวัดนครพนม พระบรมธาตุที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นต้น
o  โบราณวัตถุ เป็นสิ่งที่เคลื่อนย้ายได้ และสร้างมานานแล้ว ส่วนมากจะเป็นพระพุทธรูป เครื่องปั้นดินเผา เครื่องประดับ อาวุธโบราณ รวมทั้งเสื้อผ้า หรือผ้าทอโบราณ ตลอดจนสิ่งของเครื่องใช้เก่าแก่ที่ยังคงใช้อยู่ในปัจจุบันก็มีอยู่บ้าง โบราณวัตถุที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ จะมีการจัดเก็บรักษา และแสดงเป็นนิทรรศการที่พิพิธภัณฑสถานต่าง ๆ ของจังหวัด และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติด้วย

5)     บุคคลสำคัญในท้องถิ่น
บุคคลสำคัญในท้องถิ่น คือ ผู้ที่ทำประโยชน์ให้แก่กลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในท้องถิ่น เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ในปัจจุบัน ส่วนมากจะหมายถึง ผู้ที่ทำหน้าที่หัวหน้าในท้องถิ่น ที่ดูแลความสงบเรียบร้อย และสร้างความเจริญให้แก่ท้องถิ่น เช่น ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน นายอำเภอ พระสงฆ์ แต่บุคคลสำคัญที่จะกล่าวนี้ เป็นบุคคลที่ทำคุณงามความดีในอดีตที่มีผู้ยกย่อง เคารพนับถือ และได้มีการสร้างอนุสาวรีย์ไว้เป็นที่ระลึกด้วย
บุคคลสำคัญในท้องถิ่นที่ควรรู้ ได้แก่
ก.      สุนทรภู่
สุนทรภู่ เป็นกวีที่มีชื่อเสียงมาก ท่านมีผลงานในการแต่งหนังสืออ่านมากมาย ท่านเกิดเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2329 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ บิดาเป็นคนอำเภอแกลง จังหวัดระยอง มารดาเป็นแม่นมในพระธิดาของกรมพระราชวังหลัง ต่อมาได้แยกทางกัน บิดาไปบวชอยู่ที่อำเภอแกลง ท่านจึงอยู่กับมารดา และได้ศึกษาเล่าเรียนอยู่ที่วัดชีปะขาว มีความรู้แตกฉานด้านภาษา จึงมีนิสัยชอบบทร้อยกรองมาตั้งแต่เยาว์วัย
ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2) สุนทรภู่เข้ารับราชการอยู่ในกรมอาลักษณ์ สามารถแต่งบทกวีเป็นที่โปรดปรานของรัชกาลที่ 2 มาก จึงได้รับแต่งตั้งเป็นสุนทรโวหาร
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) สุนทรภู่ออกจากราชการไปบวชอยู่ประมาณ  6 – 7 พรรษา จึงได้สึก ระยะนี้เป็นช่วยที่ท่านต้องลำบาง เมื่อถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) พระองค์โปรดให้สุนทรภู่เข้ารับราชการอยู่ในกรมอาลักษณ์อีก และโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระสุนทรโวหาร และรับราชการต่อมาจนถึงแก่กรรม ใน พ.ศ. 2398 รวมอายุ 70 ปี
สุนทรภู่เป็นกวีเอก มีผลงานด้านวรรณกรรมที่มีความไพเราะของภาษา มีสำนวนที่แฝงข้อคิดให้คติสอนใจแก่ผู้อ่าน งานของท่านส่วนมากจะเป็นบทกลอน ที่นับว่าเป็นมรดกล้ำค่า ได้แก่ นิราศภูเขาทอง นิราศเมืองแกลง โคลงนิราศสุพรรณ พระอภัยมณี ขุนช้างขุนแผน ตอนกำเนิดพลายงาม เป็นต้น ทางการได้จัดสร้างอนุสาวรีย์ของสุนทรภู่อยู่ที่บ้านกร่ำ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง และนางเงือก ซึ่งเป็นตัวละครตัวเองในเรื่องพระอภัยมณี ที่เป็นยอดนิทานคำกลอนที่คนไทยทุกยุคทุกสมัยรู้จักและคุ้นเคยดี
ปี พ.ศ. 2529 องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า องค์การยูเนสโก ได้ประกาศรับรองพระสุนทรโวหาร (ภู่) กวีเอกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ประเทศไทย เป็นบุคคลที่มีผลงานดีเด่นในด้านศิลปวัฒนธรรม และยกย่องให้เป็นกวีเอกของโลกด้วย

ข.      ท้าวเทพกษัตรี และท้าวศรีสุนทร
ท้าวเทพกษัตรี เดิมชื่อ จัน ท้าวศรีสุนทร เดิมชื่อ มุก เป็นพี่น้องกัน นางจันสมรสกับพระยาถลาง จึงได้บรรดาศักดิ์เป็น คุณหญิงจัน
ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2328 ซึ่งเป็นรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ รัชกาลที่ 1 ได้มีศึกสงครามกับพม่า โดยพระเจ้าปะดุง กษัตริย์พม่า ยกกองทัพมาทำสงครามกับไทยถึง 9 ทัพ และมีทัพหนึ่งยกมาตีเมืองถลาง ซึ่งมียี่หวุ่น เป็นแม่ทัพจะมาโจมตีไทย
ในขณะนั้น เจ้าเมือถลางเพิ่งถึงแก่กรรม คุณหญิงจันซึ่งเป็นภรรยา กับคุณมุกน้องสาว และกรมเมืองได้เกณฑ์ผู้คนช่วยกันสร้างค่าย แล้ววางอุบายให้หญิงแต่งกายเป็นชายเดินปะปนไปกับทหารและชาวบ้าน เพื่อหลอกพม่าให้เห็นว่าฝ่ายไทยมีทหารมาเพิ่มตลอดเวลา ทำให้พม่าไม่กล้าโจมตี เพียงแต่ล้อมเมืองไว้ ต่อมาเสบียงอาหารของฝ่ายพม่าขาดแคลนจึงยกทัพกลับไป เมืองถลางจึงไม่ได้รับความเสียหาย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ทรงทราบถึงวีกรรมความกล้าหาญของคุณหญิงจันและคุณมุก ที่วางแผน และช่วยกันป้องกันเมืองถลางไว้ได้ จึงโปรดเกล้าฯ ให้คุณหญิงจันเป็นท้าวเทพกษัตรี และคุณมุก เป็นท้าวศรีสุนทร ซึ่งมีอนุสาวรีย์ของท่านทั้งสอง ได้ประดิษฐานอยู่ที่สี่แยกท่าเรือ จังหวัดภูเก็ต

ค.      ท้าวสุรนารี
ท้าวสุรนารี เดิมชื่อโม เป็นบุตรีของนายกีบ และนางบุญมา ท่านได้แต่งงานกับพระยาปลัด รองเจ้าเมืองนครราชสีมา จึงมีบรรดาศักดิ์เป็นคุณหญิงโม
ใน พ.ศ. 2368 เป็นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ซึ่งเป็นต้นรัชกาล เจ้าอนุวงศ์ ผู้ครองเมืองเวียงจันทน์ เป็นกบฏ ได้ยกทัพใหญ่จะเข้ามาตีกรุงเทพมหานคร โดยเดินทางผ่านมาทางเมืองนครราชสีมา ขณะนั้น พระยานครราชสีมา แลพระยาปลัดรองเจ้าเมืองไม่อยุ่ ต้องไปราชการที่เมืองขุขันธ์ เจ้าอนุวงศ์ได้กวาดต้อนชาวเมือง และเสบียงอาหารกลับเวียงจันทร์ ซึ่งตอนแรกชาวเมืองไม่ได้ต่อต้าน เพราะพระเจ้าอนุวงศ์หลอกว่าจะยกกองทัพไปช่วยทางกรุงเทพฯ เพราะมีข้าศึกยกทัพมาประชิดระนคร

ในขณะที่ชาวเมืองถูกกวาดต้อนไปนั้น คุณหญิงโมก็ถูกจับไปด้วย ท่านได้คิดวางแผนออกอุบาย นำพวกชาวเมืองที่ถูกกวาดต้อนเข้าโจมตี จนทหารลาวถูกฆ่าตายจนหมด เมื่อพระบาทสมเด็นพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ทรงทราบถึงวีรกรรมความกล้าหาญของคุณหญิงโม จงโปรดเกล้าฯ ให้คุณหญิงโมเป็นท้าวสุรนารี ซึ่งชาวเมืองได้สร้างอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี ประดิษฐานอยู่ที่หน้าประตูชุมพล อำเภอเมืองฯ จังหวัดนครราชสีมา








Download - เนื้อหา













คู่มือเตรียมสอบ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ป.1 - 2 - 3 ___ สังคม ป.3 - บทที่ 4 หลักเศรษฐกิจ และชีวิตพอเพียง (แบบทดสอบ)

คู่มือเตรียมสอบ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ป.1 - 2 - 3 ___ สังคม ป.3 - บทที่ 4 หลักเศรษฐกิจ และชีวิตพอเพียง (แบบทดสอบ)
















คู่มือเตรียมสอบ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ป.1 - 2 - 3 ___ สังคม ป.3 - บทที่ 4 หลักเศรษฐกิจ และชีวิตพอเพียง (แบบฝึกหัด)

คู่มือเตรียมสอบ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ป.1 - 2 - 3 ___ สังคม ป.3 - บทที่ 4 หลักเศรษฐกิจ และชีวิตพอเพียง (แบบฝึกหัด)













คู่มือเตรียมสอบ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ป.1 - 2 - 3 ___ สังคม ป.3 - บทที่ 4 หลักเศรษฐกิจ และชีวิตพอเพียง (เนื้อหา)

คู่มือเตรียมสอบ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ป.1 - 2 - 3 ___ สังคม ป.3 - บทที่ 4 หลักเศรษฐกิจ และชีวิตพอเพียง (เนื้อหา)


Download - เนื้อหา



บทที่ 4 หลักเศรษฐกิจ และชีวิตพอเพียง


     1.      ความหมายของเศรษฐศาสตร์และเรื่องที่เกี่ยวข้อง
1)     ความหมายของเศรษฐศาสตร์
เศรษฐศาสตร์ หมายถึง การศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับ วิธีการเลือกใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด มาผลิตเป็นสินค้าและบริการต่าง ๆ เพื่อตอบสนองการบริโภคของมนุษย์ ที่มีความต้องการอย่างไม่สิ้นสุด
เศรษฐศาสตร์ จึงมีหลายเรื่องที่ผูกพันกับชีวิตประจำวันของมนุษย์ทุกคน ได้แก่ การผลิต การบริโภค การซื้อขายแลกเปลี่ยน การบริการ การออมทรัพย์ การกระจายรายได้ เงินและการธนาคาร เป็นต้น

2)    เรียนรู้ความหมายของคำที่เกี่ยวข้อง
1)     การผลิต หมายถึง การจัดทำสิ่งของ สินค้าหรือการให้บริการต่าง ๆ เพื่อสนองความต้องการของคนเรา เช่น ชาวนาปลูกข้าว ชาวไร่และชาวสวนปลูกพืชผักผลไม้ต่าง ๆ ชาวประมงจับสัตว์น้ำ พ่อค้าแม่ค้านำสินค้าที่เป็นของกินของใช้มาขาย นายดำนำไม้ไผ่มานานเป็นตะกร้า กระบุง ป้าน้อยนำแป้ง ไข่ไก่ น้ำตาล มาทำขนมหวาน เป็นต้น
2)     การบริโภค หมายถึง การนำสินค้า หรือบริการต่าง ๆ มาใช้ประโยชน์ตามความต้องการของคนในสังคม เช่น แม่ซื้อเสื้อผ้ามาให้ลูกใส่ ฉันใช้กระเป๋าใส่เครื่องเขียนถือไปโรงเรียน
3)     รายได้ หมายถึง ผลตอบแทนที่ได้จากการทำงาน หรือการผลิตสินค้าและบริการต่าง ๆ สิ่งที่ได้รับอาจจะเป็นสินค้า สิ่งของ หรือเงิน ซึ่งการผลิตทำให้เกิดรายได้
4)     รายจ่าย หมายถึง การตอบแทนในสิ่งที่ต้องการ ซึ่งรายจ่ายจะเกิดขึ้นคู่กับการบริโภค
5)     การซื้อขายแลกเปลี่ยน คือ การซื้อขาย หรือการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อ
o  ผู้ขาย คือ ผู้ที่นำสินค้า หรือบริการมาขายในตลาด ผู้ขายอาจเป็นผู้ผลิตโดยตรง หรือผู้ที่ไปรับจากผู้ผลิตมาขายต่อก็ได้ โดยการเพิ่มราคาของสินค้า
o  ผู้ซื้อ คือ ผู้บริโภคที่มีความต้องการสินค้าและบริการต่าง ๆ โดยมีเงินเป็นสื่อกลางในการซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน

     2.     การประกอบอาชีพ
อาชีพ คือ การทำงานเพื่อให้มีรายได้เป็นผลตอบแทนที่เป็นเงิน หรือสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต หน้าที่การงานของบุคคลต้องไม่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม รวมทั้งไม่ทำความเดือดร้อน เสียหายต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
แต่ละคนมีอาชีพที่แตกต่างกันตามความรู้ ความสามารถของบุคคล รวมทั้งความต้องการในการผลิตจากอาชีพด้วย อาชีพของคนไทยที่ควรรู้จัก จัดเป็นกลุ่มอาชีพได้ดังนี้
1)     กลุ่มอาชีพที่ลงมือทำเอง
กลุ่มอาชีพที่ลงมือทำเอง เป็นอาชีพที่ใช้ความสามารถ และฝีมือของตนเองในการผลิตงาน เป็นผู้ลงทุน และตัดสินใจทั้งหมด มีรายได้จากการกระทำ คือ ถ้าขยันทำงานมาก งานดี ก็จะมีรายได้เพิ่มมากขึ้น และอาจจะทำงานหนักมาก หากผลผลิตหรือผลงานเป็นที่ยอมรับ ได้แก่
o  กสิกร เป็นผู้ที่เพาะปลูกพืชชนิดต่าง ๆ เช่น ชาวนาปลูกข้าว ชาวไร่ปลูกพืชผลที่เก็บผลระยะสั้น ชาวสวนปลูกพืชผลไม้และดอกไม้
o  เกษตรกร คือ ผู้ที่ปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ เพื่อนำผลผลิตมาเป็นอาหารและขายเป็นสินค้า
o  ชาวประมง เป็นผู้จัดสัตว์น้ำต่าง ๆ เช่น ปลา ปู กุ้ง หอย ปัจจุบันมีการทำบ่อเลี้ยงเป็นจำนวนมาก เพื่อให้พอแก่ความต้องการ
o  พ่อค้าแม่ค้า เป็นผู้หาสินค้า หรือผลิตสินค้าขึ้นมาขายด้วยตัวเอง เพื่อได้เงินกำไรมาใช้จ่าย และเป็นทุนเพิ่มเติม
o  นักแสดง นักร้อง นักกีฬาอาชีพ ใช้ความสามารถเฉพาะตนแสดงออกในด้านความบันเทิง หรือการแข่งขัน มักมีรายได้ดีเมื่อมีคนยอมรับ

2)    กลุ่มอาชีพที่มีรายได้ประจำ
กลุ่มอาชีพที่มีรายได้ประจำ เป็นอาชีพที่มีหน้าที่การงานที่มีรูปแบบประจำ รายได้เป็นเงินเดือน หรือค่าจ้างรายวัน รายชั่วโมงที่แน่นอน มักจะมีความมั่นคงของรายได้และสวัสดิการ ซึ่งได้จากนายจ้างหรือเจ้าของกิจการ ได้แก่
o  ข้าราชการ เป็นผู้ที่ทำงานโดยได้รับเงินเดือนจากรัฐบาล ซึ่งมาจากเงินภาษาของประเทศ ทำหน้าที่หลายแบบ เช่น ทหาร ตำรวจ ครู แพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ของรัฐ
o  ลูกจ้างและพนักงาน เป็นผู้ที่ทำงานในบริษัท ห้างร้าน โรงงาน ธนาคาร หรือสถานที่ต่าง ๆ ได้ค่าตอบแทนเป็นเงินเดือน หรือเงินค่าจ้างตามกำหนดความรู้และความสามารถ

3)    กลุ่มอาชีพที่เป็นเจ้าของกิจการ
กลุ่มอาชีพที่เป็นเจ้าของกิจการ ต้องเป็นผู้ลงทุนทำกิจการ มีฝีมือในการบริหารงาน บริหารเงิน และบริหารคนได้เหมาะสม ตัดสินใจในกิจการ แต่ไม่ลงมือทำเอง จะใช้เงินทุนจ้างคนที่มีความสามารถในแต่ละเรื่องมาทำงานแทน ได้แก่ เจ้าของโรงงาน บริษัท ร้านค้าต่าง ๆ ซึ่งเมื่อกิจการมีความมั่นคงก้าวหน้าแล้ว ก็มักจะแบ่งผลกำไนคืนสังคมในหลายรูปแบบ

     3.     ข้อควรปฏิบัติในการประกอบอาชีพ
การทำงาน หรือการประกอบอาชีพต่าง ๆ ให้มีความเจริญก้าวหน้า มีผลผลิตของงานที่ดี เป็นที่พอใจ ย่อมเป็นการเพิ่มรายได้ เป็นที่ยอมรับ และมีความมั่นคงในชีวิต ข้อปฏิบัติต่าง ๆ เราได้รับการฝึกฝนมาจากการศึกษาเล่าเรียน ที่ครูเป็นผู้ฝึกและมอบหมายงานให้เราทำในโรงเรียน ซึ่งเป็นแนวทางที่จะนำไปใช้ในการทำงานเพื่อประกอบอาชีพของเราเมื่อเติบโตขึ้น มีดังนี้
1)     ขยันหมั่นเพียร เอาใจใส่ และรับผิดชอบงานอย่างสม่ำเสมอ
2)     อดทนเข้มแข็ง ไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก
3)     ซื่อสัตย์ สุจริต มีจรรยาบรรณต่ออาชีพไม่เอาเปรียบกัน
4)     ทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ โดยมีปฏิสัมพันธ์ที่ดี รู้จักการเป็นผู้ให้และผู้รับ ไม่ให้มีจิตใจที่อิจฉาผู้อื่น
5)     ประหยัด อดออม ไม่สุรุ่ยสุร่าย รู้จักทำบันทึกข้อมูลรายรับ – รายจ่าย ของตนเอง
6)     ศึกษาหาความรู้ในวิชาชีพที่ตนทำอยู่ ให้ก้าวหน้าเพิ่มเติมอยู่เสมอ ยอมรับฟังคำแนะนำ และเลือกมาใช้ให้เหมาะสม
7)     รู้จักการบริหารจัดการตนเองในเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ วิธีการทำงาน การแก้ปัญหาอย่างมีสติให้ถูกวิธี
8)     สร้างนิสัยที่เป็นระเบียบวินัย เกี่ยวกับการตรงเวลานัดหมาย การจัดเก็บสิ่งของเครื่องใช้ให้เป็นหมวดหมู่ เพื่อสะดวกในการหยิบใช้งาน ดูแลรักษาความสะอาดในสถานที่ทำงานอยู่เสมอ
4.     การกระจายรายได้
การกระจายรายได้ หมายถึง การที่ผู้มีรายได้นำเงินไปใช้จ่ายต่อสิ่งที่จำเป็นด้านอื่น ๆ เช่น
o  ชาวนา นำเงินที่ได้จากการขายข้าวไปจ่ายค่าปุ๋ย และค่าแรงคนงานที่จ้างมาช่วยทำนา บางขั้นตอน รวมทั้งซื้อของกินของใช้ต่าง ๆ
o  ผู้ค้าขาย นำเงินที่ขายของได้ในส่วนที่เป็นทุน ไปซื้อสิ่งของมาขายต่ออีก ส่วนเงินกำไร ก็นำไปใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็นและเก็บออมไว้
o  ข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้าง ที่มีรายได้เป็นเงินเดือน ก็ต้องจัดเงิน โดยแบ่งส่วนที่จำเป็นต้องใช้จ่ายให้ตลอดเดือน และมีส่วนที่เก็บออมไว้เมื่อยามฉุกเฉิน
ดังนั้น จึงเห็นได้ว่า ผู้มีรายได้ หรือผูผลิตต้องนำเงินรายได้ไปใช้จ่าย ซื่อสิ่งที่จำเป็นและต้องการต่อไปอีก เป็นการกระจายรายได้ และในขณะเดียวกัน ต้องรู้จักเก็บออมด้วย


     5.      การใช้จ่ายและการบริโภคที่ฉลาด
ความต้องการของคนเรา มีความต้องการขั้นพื้นฐานที่ขาดไม่ได้ คือ อากาศ อาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค และความต้องการที่จำเป็นทั่วไป เช่น การศึกษา การเดินทาง ความสะดวกสบาย ความสนุกสนาน เป็นต้น สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นรายจ่ายที่ต้องมีเงิน ซึ่งเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนเพื่อใช้จ่าย การที่จะได้เงินมาใช้จ่ายก็ต้องทำงานให้มีรายได้ ตามที่ได้เรียนมาแล้ว ดังนั้นรายได้จึงคู่กับรายจ่าย และการผลิตที่ทำให้เกิดรายได้ ก็คู่กับการบริโภคที่เป็นค่าใช้จ่าย    ต่าง ๆ
การใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ต้องรู้จักใช้จ่ายให้เป็น มีการวางแผนในการใช้จ่ายให้เหมาะสมกับรายได้ มีหลักในการบริโภคที่ถูกต้องตามฐานะของครอบครัว เพื่อมิให้เกิดปัญหาความขัดสนและหนี้สิน เพราะการใช้จ่ายมากเกินกว่ารายได้ จึงต้องรู้จักการใช้จ่าย และรู้จักการเก็บออมเอวไว้ใช้ในคราวจำเป็นด้วย การใช้จ่ายจนหมดไม่มีเหลือเก็บสะสมไว้ เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง และอาจเกิดปัญหาได้ จึงมีข้อคิดควรทำในการใช้จ่ายและการบริโภค ดังนี้
1)   รู้จักประมาณในการใช้จ่าย เรารู้ว่าแต่ละคนจะต้องมีค่าใช้จ่ายส่วนตัว และค่าใช้จ่ายของครอบครัว เราต้องฝึกการรู้จักประมาณค่าใช้จ่ายส่วนตัวของเราแต่ละวัน ฝึกการจดบันทีกรายรับและรายจ่าย เพื่อให้รู้ได้ว่าได้จ่ายอะไรบ้าง สิ่งที่ไม่ควรจ่ายจะได้งดเว้น ถ้าเรามีเงินเหลือเก็บออม เราจะรู้สึกภูมิใจ เพื่อเราปฏิบัติเป็นประจำ จะเป็นการฝึกนิสัยให้รู้คิด ช่างสังเกต รู้จักประหยัด ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเกินฐานะ
2)   รู้จักวางแผนในการซื้อ โดยสำรวจสิ่งที่ต้องการจะซื้อที่จำเป็น มีเงินซื้อพอหรือไม่ จดเป็นรายการที่จะซื้อในแต่ละครั้ง ถ้ารู้ราคาของสินค้าในครั้งก่อน เพื่อนำมาเปรียบเทียบก็ยิ่งดี
3)   พิจารณาสิ่งที่จะซื้อ โดยดูจากคุณภาพ และราคาที่เหมาะสม รวมทั้งความจำเป็น และปริมาณที่ซื้อด้วย เช่น ของบางอย่างลดราคาแต่ใกล้จะหมดอายุ หรือซื้อมาเก็บไว้มากเกินไป ก็เสื่อมคุณภาพก่อน ทำให้สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ
4)   สังเกตเครื่องหมายส่วนประกอบ และวันหมดอายุของสินค้า เพื่อซื้อมาให้ได้ประโยชน์จริง ๆ
5)   ช่วยประหยัดพลังงาน และทรัพยากร ภายในบ้าน โรงเรียน หรือสำนักงาน ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว เกี่ยวกับเรื่อง ไฟฟ้า น้ำประปา แก๊สหุงต้ม และวางแผนการเดินทางให้เหมาะสม

6.      การซื้อขาย การแลกเปลี่ยน และการค้าเสรี
1)     การซื้อ หมายถึง การที่ผู้บริโภคนำเงินไปแล้วกับสิ่งของ หรือการบริการของผู้ผลิต หรือผู้ขาย ตัวอย่าง เช่น
o  ป้าแดงนำเงินไปซื้อปลาดุกของลุงชม
o  หนูนิดจ่ายเงินค่ารถรับจ้างในหมู่บ้านให้นายแจ่ม
ทั้งป้าแดงและหนูนิด เป็นผู้ซื้อที่ต้องจ่ายเงิน
2)     การขาย หมายถึง การที่ผู้ผลิตสินค้า นำสินค้ามาจำหน่ายให้แก่ผู้บริโภค หรือผู้ให้บริการทำงานให้แก่ผู้รับบริการ
จากตัวอย่างที่กล่าวมา
ลุงชม และนายแจ่ม เป็นผู้ขายที่ได้รับเงิน ดังนั้น การซื้อขายจึงเป็นการแลกเปลี่ยนโดยใช้เงินเป็นตัวกลาง ซึ่งมีข้อตกลงที่พอใจกันทั้งสองฝ่าย
3)     การแลกเปลี่ยนสิ่งของ หมายถึง บุคคลสองฝ่ายนำสิ่งของที่ต้องการมาแลกเปลี่ยนกันโดยตรง โดยไม่ต้องใช้เงินเป็นตัวกลาง เช่น
o  ป้าแดงนำกล้วยไปแลกกับปลาดุกของลุงชม
o  นายตี๋ นำเสื้อผ้าไปแลกกับข้าวสารของชาวนา
ปัจจุบันนี้ การแลกเปลี่ยนสิ่งของ ยังพอมีให้เห็นบ้างตามท้องถิ่นชนบท แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการนำสินค้า หรือผลผลิตมาขายที่ตลาด เพื่อให้ผู้บริโภคเลือกซื้อได้ตามที่ต้องการ โดยใช้เงินในการซื้อขาย
4)   การค้าเสรี หมายถึง ผู้ผลิต หรือผู้ประกอบการนำสินค้าของตนไปขายโดยตรงด้วยตนเอง ไม่ต้องผ่านผู้อื่น เป็นการค้าขายโดยอิสระ ตกลงราคาซื้อขายกันเองตามความพอใจของผู้ขายและผู้ซื้อ การค้าแบบนี้เป็นการค้าเสรี
ส่วนการขายสินค้าและบริการตามราคากลางที่กำหนดราคาขายให้เหมือนกัน เป็นการขายที่ควบคุมราคา เช่น การขายน้ำมันเชื้อเพลิง การจ่ายค่าโดยสารตามระยะทาง หรือตามขอบเขตที่กำหนด

7.      ธนาคารกับการออม
ธนาคาร คือ สถาบันการเงินที่มีกฎหมายของประเทศรับรอง ให้ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการเงินได้อย่างถูกต้อง โดยมีหลักเกณฑ์ที่เป็นสากล และยอมรับกันทั่วไป กิจกรรมของธนาคารเกี่ยวข้องกับการเงินเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมีหน้าที่สำคัญ ดังนี้
1)   รับฝากเงิน ผู้นำเงินไปฝากธนาคาร จะได้ดอกเบี้ยเงินฝากเป็นค่าตอบแทน เช่น ธนาคารให้ดอกเบี้ยเงินฝากร้อยละ 5 ต่อปี หมายความว่า ถ้าเราฝากเงิน 100 บาท จนครบ 1 ปี เราจะได้ดอกเบี้ย 5 บาท รวมเป็นเงิน 105 บาท ถ้าเราฝากมากและฝากนาน เราก็จะได้ดอกเบี้ยมาก และทบเป็นเงินต้นด้วย นอกจากนี้ การฝากเงินที่ธนาคารยังได้รับประโยชน์เรื่องความปลอดภัยในการเก็บรักษาเงินอีกด้วย
2)   บริการถอนเงิน ผู้ที่มีเงินฝากกับธนาคาร สามารถถอนเงินที่ฝากมาใช้ได้เมื่อมีความจำเป็น โดยมีบริการถอนเงินฝากได้ 2 แบบ คือ ถอนเงินฝากกับเจ้าหน้าที่โดยตรง และถอนเงินฝากโดยใช้บริการตู้ถอนเงินอัตโนมัติ หรือเรียกกันว่า ATM
3)   บริการให้กู้ยืมเงิน สำหรับผู้ที่ต้องการใช้เงินจำนวนมาก เช่น การซื้อบ้านที่อยู่อาศัย การลงทุนทำกิจการ จำเป็นต้องกู้ยืมเงิน ธนาคารจึงมีบริการให้กู้ยืมเงิน โดยต้องเสียดอกเบี้ยเงินกู้ตามกำหนดของธนาคาร ซึ่งต้องมีการทำสัญญาการผ่อนส่งเงินกู้ และมีหลักทรัพย์ หรือผู้ที่มีฐานะมั่นคงค้ำประกันการกู้ยืม
4)   บริการทางการเงินอื่น ๆ ธนาคารให้ความสะดวกในเรื่องบริการด้านการเงินแก่ลูกค้า และประชาชนอีกหลายอย่าง เช่น การโอนเงิน การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ การใช้ตั๋วแลกเงิน เชคของขวัญธนาคาร เป็นต้น
5)   บริการพิเศษของธนาคาร เช่น การออมเงินโดยซื้อสลากออมสินพิเศษของธนาคารออมสิน  การซื้อสลากออมทรัพย์สินทวี ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร เป็นการฝากเงินที่มีกำหนดระยะเวลา และได้รับผลตอบแทนเป็นเงินรางวัล และดอกเบี้ยตามกำหนด
จึงเห็นได้ว่า ธนาคารมีการจัดการเรื่องเงินอย่างเป็นระบบที่เกี่ยวกับการออมเงิน โดยรับฝากเงิน และการให้กู้ยืมเงิน เพื่อไปทำประโยชน์ในด้านการลงทุนทำธุรกิจต่าง ๆ

8.      เรื่องของภาษี
ภาษี หมายถึง รายได้หรือรายรับของประเทศ ที่รัฐบาลเรียกเก็บจากประชาชนทุกคนที่ทำงานมีเงินเป็นรายได้ การเก็บภาษาของรัฐบาลเพื่อนำมาใช้จ่ายในส่วนการบริหารและพัฒนาประเทศให้มีความเจริญในทุก ๆ ด้าน ภาษาที่รัฐบาลเก็บจากรายได้ส่วนนึ่งของประชาชน ได้จัดเป็นบริการ และสินค้าที่มีประโยชน์ต่อประชาชนโดยส่วนรวม บางอย่างต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก บางอย่างเป็นบริการและสินค้าที่ต้องใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน ซึ่งมีตัวอย่างที่สำคัญ ดังนี้
o  การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน
o  การแพทย์ และสาธารณสุข
o  การสร้างถนน ทางหลวงแผ่นดิน ทางด่วนพิเศษ
o  การสร้างท่าเรือ ท่าอากาศยาน
o  การไฟฟ้า การประปา โทรศัพท์
ดังนั้น ผู้ที่ทำงานมีรายได้ ต้องเสียเงินเป็นภาษีส่วนหนึ่ง เพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาประเทศ ถือว่า การเสียภาษีเป็นหน้าที่ของทุกคนที่ต้องปฏิบัติ ไม่หลีกเลี่ยงภาษี เพราะจะเป็นการผิดกฎหมาย และถูกลงโทษด้วย
เรายังเป็นเด็ก ยังไม่มีรายได้ของตนเอง จึงไม่ต้องเสียภาษี แต่เราต้องมีส่วนร่วมในการใช้ภาษีด้วยจึงควรปฏิบัติตนดังนี้
o  การมาโรงเรียนเพื่อเรียนรู้วิชาในการนำไปประกอบอาชีพ เราต้องช่วยกันรักษาสมบัติของโรงเรียน ไม่ทำลาย เพราะเป็นสิ่งที่ได้มาจากเงินภาษีของชาติ
o  การรู้จักรักษาสุขภาพ ร่างกายให้แข็งแรง ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล
o  การช่วยประหยัดทรัพยากรของชาติ เช่น ไฟฟ้า น้ำประปา โทรศัพท์ โดยใช้เท่าที่จำเป็น ไม่เปิดใช้อย่างสิ้นเปลือง

9.      การเพิ่มผลผลิตที่เป็นพื้นฐานการเรียนและการทำงาน
ก.      การเพิ่มผลผลิตในตนเองที่เป็นพื้นฐานการเรียน
เราต้องเรียนรู้หลายวิชา เพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ ความคิด และนำมาใช้โดยฝึกปฏิบัติการทำงานต่าง ๆ ตามที่ครูมอบหมายในแต่ละวิชา จนเรียนสำเร็จ สามารถทำงานประกอบอาชีพได้
ในปัจจุบัน ความเจริญก้าวหน้าของโลกเป็นไปอย่างรวดเร็ว การเรียน การทำงาน ต้องแข่งขันกันมาก จึงต้องรู้จักการเพิ่มผลผลิตให้มีประสิทธิภาพที่ดีและถูกต้อง เพื่อให้เกิดผลตามที่ต้องการ การเพิ่มผลผลิตที่ควรรู้และนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ มี 2 ลักษณะ คือ
การเพิ่มผลผลิตในตนเอง หมายถึง การทำงานให้ถูกต้องตั้งแต่ครั้งแรก เพื่อลดความสูญเสียสิ่งของและเวลา โดยมีความตั้งใจที่จะสร้างสรรค์และปรับปรุงสิ่งต่าง ๆ ให้ดีขึ้นอยู่เสมอ ซึ่งเชื่อมั่นว่าเราสามารถทำวันนี้ให้ดีกว่าเมื่อวาน และพรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้ การเพิ่มผลผลิตในตนเอง มีแนวทางปฏิบัติ ดังนี้
การปรับปรุงตนเอง โดยเชื่อมั่นว่า ตนเองมีความสามารถที่จะเรียนรู้ได้ เมื่อครูสอน และให้ทำงาน บางครั้งอาจจะทำไม่ถูกต้อง เราต้องรู้จักถาม และแก้ไขทำใหม่ให้ดีกว่าเดิม การทำงานให้เสร็จทันเวลา เป็นการสร้างนิสัยให้มีความรับผิดชอบ และเพิ่มผลผลิตให้แก่ตัวเอง คนที่มัวแต่คุยเล่น ทำงานช้า โอ้เอ้ หรือหลบเลี่ยงไม่ทำงาน นอกจากไม่รู้จักเพิ่มผลผลิตให้แก่ตนเองแล้ว ยังเสียเวลา และไม่มีวินัยในตนเอง ทั้งยังไม่ใด้ผลงานด้วย
รู้จักคิดและวางแผน เช่น คิดว่าวันนี้เราเรียนวิชาอะไรบ้าง จะต้องเตรียมสิ่งใดในการเรียน ครูนัดหมาย มีกิจกรรมสำคัญหรือไม่ ถ้าเราเตือนความจำ เตือนสติตนเองเสมอ จะทำให้ไม่หลงลืม และทำสิ่งต่าง ๆ อย่างมีจุดมุ่งหาย เกิดความสบายใจ เมื่อเราเติบโตขึ้น เราจะได้วางแผนชีวิตของเรา และพัฒนาความสามารถได้ดี

มีทักษะการสื่อสารที่ดี ในการสื่อสารมีทั้งการรับข้อมูล และการส่งข้อมล ถ้าเราเป็นผู้รับ ต้องรู้จักฟังให้รู้เรื่อง และอ่านเรื่องต่าง ๆ ให้เข้าใจ เมื่อเราเป็นผู้ส่ง เราควรพูดตอบ หรือพูดถามให้ชัดเจน รวมทั้งการเขียนสิ่งที่เรารู้หรือสิ่งที่เราอยากจะบอกให้ตรงเรื่อง ดังนั้น การใช้ภาษาเป็นเรื่องที่ตองฝึก เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกัน ไม่ผิดเพี้ยนไป ทำให้มีความก้าวหน้า และความสำเร็จในชีวิต ทั้งเรื่องส่วนตัว การเรียน และการทำงาน
การเพิ่มผลผลิตในตนเองที่เป็นพื้นฐานการเรียน เราต้องฝึกการฟัง พูด อ่าน เขียน ให้มาก เพื่อสื่อความหมายให้เข้าใจ รู้จักคิดไตร่ตรอง และคิดเหตุผลให้รอบคอบ เพื่อรู้จักการวางแผน รู้จักการแก้ไขปัญหา โดยจัดการให้ถูกต้องเหมาะสม เตรียมพร้อมตนเองในการทำงานต่อไปในอนาคต

ข.     การเพิ่มผลผลิตที่เป็นพื้นฐานในการทำงาน
การฝึกตนเองให้มีการเพิ่มผลผลิตในการทำงาน เพื่อเป็นพื้นฐานในการพัฒนาเศรษฐกิจ และฝึกความสามารถในการทำงานตั้งแต่ยังเด็ก คือ
1)     ให้ตั้งใจและพยายามทำสิ่งต่าง ๆ ที่ได้รับมอบหมาย หรือที่คิดทำเองให้สำเร็จ ทั้งการเรียน และการทำงาน มีความมุ่งมั่น ถึงแม้ว่าจะยากก็ไม่ท้อถอย ฝึกทำบ่อย ๆ ก็จะทำได้และทำได้ดี ถูกต้อง ทันเวลา
2)     เรียนรู้ลักษณะ และการเลือกซื้อสิ่งของที่มีคุณภาพ เพื่อประหยัดเงิน ประหยัดเวลา และใช้อย่างปลอดภัย โดยการอ่านศึกษาข้อมูล และการสอบถามผู้ที่มีความรู้และปรกสบการณ์
3)     ฝึการใช้จ่างเงินในสิ่งที่จำเป็น สิ่งที่ต้องการจะซื้อต้องคำนึงถึงประโยชน์ และความจำเป็น โดยรู้จักคิดให้รอบคอบก่อนใช้เงิน ต้องรู้จักทำบัญชีรายรับรายจ่ายของตนเอง และให้มีเงินคงเหลือเพื่อการเก็บออม
4)     ช่วยกันประหยัดทรัพยากรและค่าใช้จ่ายที่มองไม่เห็น เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมันรถ ค่าแรงคนงาน เพื่อที่จะได้มีน้ำ ไฟฟ้า พลังงานต่าง ๆ และมีเงินเหลือให้เราได้ใช้ไปนาน ๆ
5)     คำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยในความเป็นอยู่และการทำงาน
o  ความหมายของความปลอดภัย คือ การไม่มีอุบัติเหตุ ไม่มีการบาดเจ็บ ไม่มีสิ่งของเสียหาย โดยรู้จักการป้องกันอันตราย มีความรอบคอม ไม่ประมาท
o   ผลของความไม่ปลอดภัย คือ ปลอดภัย คือ บาดเจ็บ พิการ เสียชีวิต เสียเงิน เสียสิ่งของ เสียเวลา
o  สาเหตุที่ทำให้เกิดความไม่ปลอดภัย ได้แก่ การจัดวางสิ่งของเครื่องใช้ทั้งในบ้าน ในที่ทำงานไม่เป็นระเบียบ รกรุงรัง ไม่ทำความสะอาด ใช้ของชำรุดโดยไม่ซ่อมแซม สิ่งของเครื่องใช้บางอย่างทำให้เกิดอันตราย โดยฝ่าฝืนคำเตือน ไม่ทำตามขั้นตอน และไม่ใช้อุปกรณ์ป้องกันภัย ข้อสำคัญ คือ ความประมาท ไม่รอบคอบ
6)     หมั่นปฏิบัติตามกิจกรรม 5 ส.
กิจกรรม 5 ส. เป็นกิจกรรมที่ฝึกนิสัยในการดูแลรักษาสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ทั้งในบ้านและที่ทำงาน เพื่อให้หยิบใช้ได้รวดเร็ว มีความปลอดภัย วิธีการของกิจกรรม 5 ส. มีตามลำดับ ดังนี้
o  สะสาง คือ การแยกสิ่งของที่จำเป็น และของที่ไม่จำเป็น แล้วกำจัดสิ่งของที่ไม่จำเป็นออกไป
o  สะดวก คือ การจัดเก็บสิ่งของที่จำเป็นให้เป็นระเบียบเรียบร้อย เวลาใช้ หยิบง่าย ไม่เสียเวลา เมื่อใช้แล้วก็เก็บเข้าที่ได้ถูกต้อง
o  สะอาด คือ การทำความสะอาดสิ่งของเครื่องใช้ และบริเวณตามกำหนดเวลา เพื่อให้น่าใช้ น่าอยู่ เป็นการตรวจสอบสิ่งของเครื่องใช้ว่ายังอยู่ในสภาพดี และยังใช้ได้ ถ้าชำรุดต้องรีบซ่อมแซม
o  สุขลักษณะ เป็นการรักษา การจัดระเบียบ และการทำความสะอาดอย่างต่อเนื่อง
o  สร้างนิสัย เป็นการสร้างวินัยในตนเอง และปฏิบัติตามระเบียบวินัยที่กำหนด โดยมีส่วนร่วม และมีความรับผิดชอบ

10. กิจการสหกรณ์
สหกรณ์ คือ การรวมกลุ่มของบุคคลในการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคม โดยการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เป็นการดำเนินงานทางธุรกิจที่ให้บริการแก่สมาชิกอย่างยุติธรรม มีระเบียบกำหนดไว้เป็นกฎหมาย ส่งเสริมการพัฒนาอาชีพ สร้างสรรค์สังคมให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สหกรณ์มีหลายประเภท ซึ่งสามารถเรียนรู้ในระดับต่อไป
สหกรณ์โรงเรียน เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจในเบื้องต้น ซึ่งสถานศึกษาทุกแห่งจัดให้มีกิจกรรมสหกรณ์ประเภทร้านค้า เพื่อบริการสินค้าต่าง ๆ แก่สมาชิกที่เป็นนักเรียนและครู ผู้เป็นสมาชิกต้องลงทุนซื้อหุ้น เพื่อจะได้มีหลายเลขสมาชิก เมื่อซื้อสินค้า ก็ต้องบอกยอดเงินซื้อและหมายเลขสมาชิกของตน เมื่อถึงสิ้นปี ก็จะได้เงินปันผลตามยอดซื้อรวมทั้งปี ถ้าเรียนจบ หรือลาออกจากโรงเรียนก็ได้คืนหุ้นที่ซื้อไว้
ปัจจุบันโรงเรียนประถมศึกษาทุกแห่ง มีการส่งเสริมและสนับสนุนกิจกรรมสหกรณ์ ค้านค้าในโรงเรียน เพื่อบริการขายสินค้าที่มีความจำเป็นต้องใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ ของการเรียนเป็นสินค้าที่มีคุณภาพดี ราคาตามท้องตลาด หรืออาจจะถูกกว่าบ้าง แต่จะได้รับเงินปันผลกำไนตามหุ้น และยอดซื้อสินค้าเมื่อถึงสิ้นปี
ประโยชน์ของสหกรณ์ร้านค้าในโรงเรียน
(1)   ให้นักเรียนได้เรียนรู้ และมีส่วนร่วมในการดำเนินงานสหกรณ์
(2)   ได้ซื้อสินค้าที่มีคุณภาพในราคายุติธรรม
(3)   เป็นพื้นฐานในการพัฒนาเศรษฐกิจเบื้องต้น
(4)   เพื่อเผยแพร่หลักการสหกรณ์ ให้นักเรียนได้เข้าใจจากการปฏิบัติ
การซื้อสินค้าในสหกรณ์ของโรงเรียน เป็นการเรียนรู้โดยการได้ปฏิบัติจริง และให้ความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ทั้งส่วนตนและส่วนรวมด้วย ซึ่งกิจการสหกรณ์ยังมีอีกหลายรูปแบบ เช่น สหกรณ์ออมทรัพย์ สหกรณ์เพื่อการเกษตร สหกรณ์การประมง เป็นต้น

11. เศรษฐกิจแบบพอเพียง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงห่วงใยประชาชนในเรื่องการทำมาหากิน โดยเฉพาะผู้ที่มีอาชีพเกษตรกร ที่มีปัญหาสะสมมานานจนเป็นปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ พระองค์ทรงพระราชทานความช่วยเหลือ และ แนวทางพระราชดำริแก่ผู้ที่มีอาชีพเกษตรกร ซึ่งมีความลำบาก และมีปัญหาหลายอย่าง โดยมีแนวทางในเรื่อง เศรษฐกิจแบบพอเพียง และเกษตรทฤษฎีใหม่ ตามพระราชดำริ ดังนี้
ก.     แนวคิดและแนวปฏิบัติเศรษฐกิจแบบพอเพียง
เศรษฐกิจแบบพอเพียง เป็นแนวทางของความคิดและการปฏิบัติเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตที่มีหลักพึ่งตนเอง และช่วยเหลือตนเองให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะเรื่องการอยู่การกินที่ต้องทำแบบพอมีพอกิน ไม่ขาดแคลน หรือฟุ่มเฟือยเกินไป ตัวอย่างแนวคิดที่นำไปปฏิบัติ เช่น
(1)   ปลูกพืชผักผลไม้ และเลี้ยงสัตว์ที่เป็นอาหารตามสภาพที่ทำได้
(2)   สิ่งที่ผลิตไม่ได้ก็แลกเปลี่ยน หรือซื้อจากภายนอกบ้าง
(3)   ควรซื้อและใช้สิ่งที่ผลิตได้ในท้องถิ่น หรือในประเทศ
(4)   มีความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย ไม่ฟุ้งเฟื้อ ไม่ฟุ่มเฟือย
(5)   ไม่ควรก่อหนี้สิน หรือพยายามก่อหนี้ให้น้อยที่สุด
(6)   ต้องระวังเรื่องรายจ่าย ไม่ให้เกินรายรับ
(7)   สนใจศึกษาหาความรู้ เพื่อให้ได้ความคิดที่ดี นำมาปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและครอบครัว
ข.     เกษตรทฤษฎีใหม่
เกษตรทฤษฎีใหม่ เป็นแนวทางในการจัดการเรื่องที่ดิน และแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรในพื้นที่ขนาดเล็กให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพราะคนไทยส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกร ซึ่งมีความยากลำบาก และมีปัญหาในการประกอบอาชีพหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องน้ำ และอาหารการกิน ทำให้มีผลผลิตน้อย และมีหนี้สินที่ไปกู้ยืมมาก
แนวทางทฤษฎีใหม่ โดยเน้นเศรษฐกิจแบบพอเพียง ซึ่งเป็นแนวทางพระราชดำริ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 มีหลักการโดยรวม ดังนี้
(1)   ให้เกษตรกรผลิตข้าวไว้บริโภคพอเพียงตลอดปี
(2)   ให้ประหยัด เลี้ยงตัวเองได้ ไม่อด และไม่มีหนี้สิน
(3)   สินค้าที่เป็นผลผลิต ให้รวมกลุ่มกันจัดดำเนินการโดยไม่ผ่านคนกลาง ไม่ต้องเสียค่าขนส่งมาก
(4)   มีความขยัน อดทน เข้มแข็งในการทำงาน และร่วมแรงร่วมใจในการแก้ไขปัญหา
การดำเนินงานของเกษตรทฤษฎีใหม่
วิธีการดำเนินงานโดยสังเขปมี 3 ขั้นตอน คือ
ขั้นตอนที่ 1 การผลิต
เป็นขั้นแรกที่มุ่งให้เกษตรกรช่วยเหลือและเลี้ยงตัวเองได้ โดยมีพื้นฐานของความขยัน และประหยัด ให้เกษตรกรแบ่งพื้นที่เป็น 4 ส่วน โดยมีอัตราส่วน 30 : 30 : 30 : 10 ดังนี้
ส่วนที่ 1 พื้นที่ประมาณ 30% ให้ขุดสระน้ำ เพื่อกักเก็บน้ำที่มีในฤดูฝน ใช้เพาะปลูกจนถึงฤดูแล้ว ในน้ำอาจเลี้ยงปลาไว้กิน
ส่วนที่ 2 พื้นที่ประมาณ 30% ทำเป็นที่นาปลูกข้าว เพื่อใช้เป็นอาหารของครอบครัวตลอดปี โดยไม่ต้องซื้อกิน
ส่วนที่ 3 พื้นที่ประมาณ 30% ใช้ปลูกพืชต่าง ๆ ทั้งพืชไม้ผล พืชยืนต้น พืชผักสวนครัว สมุนไพร ไม้ดอกไม้ประดับ เพื่อกินเพื่อใช้ในครอบครัว ถ้ามีผลผลิตมากก็นำไปจำหน่ายได้
ส่วนที่ 4 พื้นที่ประมาณ 10% ใช้ทำเป็นที่อยู่อาศัย อาจมีการเลี้ยงสัตว์ หรือสร้างโรงเรือนเพื่อทำงานอื่นเสริมในบ้าน เช่น ทอผ้า จักสาน ซ่อมแซมเครื่องมือ

ขั้นตอนที่ 2 ขั้นรวมกลุ่มเป็นสหกรณ์
เมื่อเกษตรกรมีพอกินพออยู่แล้ว ให้มารวมกลุ่มกัน ช่วยเหลือกันทำงานในรูปสหกรณ์ เช่นผลิตผลของแต่ละครัวเรือนที่มีมากเกินบริโภค ก็ช่วยกันหาแนวทางจัดการเพื่อให้ผลิตผลนั้นมีมูลค่าเป็นรายได้เพิ่ม มีการประชุมปรึกษาหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อช่วยกันหาวิธีจัดการที่ทำให้เกิดผลดี

ขั้นตอนที่ 3 ขั้นดำเนินธุรกิจ
เมื่อเป็นกลุ่มสหกรณ์ที่เข้มแข็งในขั้นนี้เป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชน ในการขอความร่วมมือจากแหล่งเงินทุนที่มีการสนับสนุนเพื่อดำเนินงานที่มีความเจริญก้าวหน้าและมีหลักที่มั่นคงของชุมชน ที่มีความร่วมแรงร่วมใจ ประสานประโยชน์อย่างเข้มแข็ง เกิดความรู้ ความรัก และความสามัคคีต่อกัน
สำหรับนักเรียนที่ยังต้องศึกษาเรียนรู้ ก็สามารถปฏิบัติตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อพัฒนาตนเอง ช่วยเหลือครอบครัว โรงเรียน และชุมชนที่อยู่ให้เกิดประโยชน์ ดังนี้
(1)   ปฏิบัติตนในทางที่ดีและถูกต้อง ไม่ก่อความเดือดร้อนแก่ตนเองและผู้อื่น
(2)   รู้จักใช้จ่ายให้เหมาะสม พอดี ฝึกตนเองให้มีการประหยัดและเก็บออม ไม่ฟุ่มเฟือย ช่วยครอบครัวและโรงเรียนในการประหยัดไฟฟ้า น้ำ และสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ให้เหมาะสม
(3)   รู้จักการทำงานร่วมกับผู้อื่นเป็นกลุ่ม และช่วยเหลือกัน เช่น การทำความสะอาดห้องเรียนในวันที่กำหนด การช่วยกันสืบค้นข้อมูลในการเรียนรู้กลุ่มสาระอื่น ๆ
(4)   ฝึกทำบัญชี รับ – จ่าย รายวันของตนเอง ซึ่งจะทำให้เรารู้จักการประหยัดและเก็บออมด้วย



















คู่มือเตรียมสอบ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ป.1 - 2 - 3 ___ สังคม ป.3 - บทที่ 3 สิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา (แบบทดสอบ)

คู่มือเตรียมสอบ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ป.1 - 2 - 3 ___ สังคม ป.3 - บทที่ 3 สิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา (แบบทดสอบ)











Blog เพื่อนการศึกษา

***Blog เพื่อนการศึกษา*** ***สรุปเนื้อหา*** **สรุปเนื้อหา ม.456 สรุปเนื้อหา ชีววิทยา ม.456 สรุปเนื้อหาเข้า ป.1 - ม.6 สรุปเนื้อหา - วิชาสังคม...