วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2557

เตรียมตัวสอบ O-Net - แนวข้อสอบ O-Net - ประถมต้น (แนวข้อสอบ O-Net ป.3) - เนื้อหาวิชา วิทยาศาสตร์ - น้ำและอากาศบนโลก

เตรียมตัวสอบ O-Net - แนวข้อสอบ O-Net - ประถมต้น (แนวข้อสอบ O-Net ป.3) - เนื้อหาวิชา วิทยาศาสตร์ - น้ำและอากาศบนโลก



Download - เนื้อหา





น้ำและอากาศบนโลก



น้ำกับสิ่งมีชีวิต
          บนผิวโลกของเราประกอบไปด้วยพื้นน้ำ 3 ส่วน พื้นดิน 1 ส่วน น้ำมีทั้งน้ำบนผิวดิน น้ำใต้ดิน และน้ำในบรรยากาศ

-        น้ำผิวดิน ได้แก่ แม่น้ำ ลำคลอง หนอง บึง ห้วย ลำธาร ทะเล ทะเลสาบ และมหาสมุทร เป็นน้ำที่เกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตของมนุษย์มากที่สุด
-        น้ำใต้ดิน มี 2 ประเภท คือ น้ำในดิน และน้ำบาดาล
-        น้ำในบรรยากาศ เช่น ไอน้ำ ละอองน้ำในอากาศ เป็นต้น

วัฏจักรของน้ำ
          วัฏจักรของน้ำ คือ ลักษณะของน้ำที่หมุนเวียน เกิดจากการระเหยของน้ำบนพื้นโลก โดยแสงแดด ความร้อน ลม เมื่อไอน้ำลอยขึ้นสูง จะรวมตัวกันเป็นก้อนเมฆ แล้วเคลื่อนที่ไปตามกระแสลม เมื่อไปกระทบความเป็นเป็นฝนตกลงมาสู่พื้นดิน น้ำฝนไหลลงสู่แหล่งน้ำ บนผิวดิน และใต้ดินต่อไป ปรากฏการณ์หมุนเวียนของน้ำ เราเรียกว่า วัฏจักรของน้ำ

สมบัติของน้ำ
1.      สถานะของน้ำ
น้ำมีได้ 3 สถานะ คือ สถานะของแข็ง ของเหลว และแก๊ส ที่ภาวะปกติ น้ำมีสถานะเป็นของเหลว และมีรูปร่างเปลี่ยนไปตามภาชนะที่บรรจุ
น้ำเมื่อได้รับความร้อนถึงจุดเดือนจะเปลี่ยนไปเป็นสถานะไอ หรือ สถานะแก๊ส และเช่นเดียวกับเมื่อน้ำได้รับความเย็นจะเปลี่ยนไปเป็นสถานะของของแข็งที่อุณหภูมิศูนย์องศาเซลเซียส



2.      การเคลื่อนที่ของน้ำ
น้ำจะไหลเคลื่อนที่เพื่อรักษาระดับผิวน้ำให้เท่ากันเสมอ ไม่ว่าจะอยู่ในภาชนะที่มีรูปร่างต่างกันอย่างไร
น้ำจะไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำกว่า ด้วยแรงดึงดูดของโลก ซึ่งทำให้น้ำจากที่สูงไหลไปรวมกับน้ำในแหล่งต่าง ๆ ที่ต่ำกว่า เช่น น้ำตก น้ำในทะเล มหาสมุทร

3.     แรงดันของน้ำ
แรงดันของน้ำ คือ แรงของน้ำที่กดลงบนพื้นที่บริเวณหนึ่ง ๆ แรงดันของน้ำจะสัมพันธ์กับระดับความลึกของน้ำ โดยน้ำที่ระดับเดียวกันจะมีแรงแรงดันของน้ำเท่ากัน และน้ำที่ระดับลึกกว่าจะมีแรงดันมากกว่าน้ำที่ระดับตื้นกว่า

ประโยชน์ของน้ำ
  1)      คนและสัตว์ใช้ดื่มกิน ใช้ประกอบอาหาร ชำระล้างร่างกาย สิ่งสกปรก และเหงื่อไคลที่ติดตามร่างกาย
  2)     ใช้ในการเกษตร การเพาะปลูก และเลี้ยงสัตว์
  3)     ใช้ประโยชน์ในการอุตสาหกรรมทุกชนิด เพราะอุตสาหกรรมทุกประเภทต้องอาศัยน้ำ เป็นวัตถุดิบ เช่น อาหารกระป๋อง เครื่องดื่ม ใช้ระบายความร้อนของเครื่องจักร เครื่องยนต์ ใช้ล้างทำความสะอาดผลิตภัณฑ์ และกากของเสียต่าง ๆ เป็นต้น
  4)      ใช้เป็นเส้นทางคมนาคมในการติดต่อสื่อสาร และติดต่อทางการค้า
  5)     เรานำพลังงน้ำจากการสร้างเขื่อนกักเก็บน้ำมาผลิตกระแสไฟฟ้า เช่นเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิตติ์ เขื่อนจุฬาภรณ์ เขื่อนอุบลรัตน์ เขื่อนศรีนครินทร์ เป็นต้น
  6)     เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำ และพืช เช่น ปลา กุ้ง ปู หอย และสาหร่ายทุกชนิด
  7)      เป็นแหล่งของทรัพยากรที่สำคัญ เช่น แก๊สธรรมชาติ และเกลือ เป็นต้น
  8)     เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางน้ำ






อากาศกับสิ่งมีชีวิต
          อากาศเป็นสสารชนิดหนึ่ง มีตัวตน มีน้ำหนัก ต้องการที่อยู่และสัมผัสได้ โลกของเรามีอากาศห่อหุ้มอยู่ เราเรียกอากาศที่อยู่รอบตัวเรา และห่อหุ้มโลกของเราว่า บรรยากาศ

ส่วนประกอบของอากาศ
          อากาศประกอบด้วยแก๊สหลายชนิด ส่วนประกอบของแก๊สที่สำคัญในอากาศโดยปริมาตร ได้แก่
-        ไนโตรเจน จำนวนร้อยละ 78
-        ออกซิเจน จำนวนร้อยละ 21
-        อาร์กอน จำนวนร้อยละ 0.93
-        คาร์บอนไดออกไซด์ จำนวนร้อยละ 0.03
-        แก๊สอื่น ๆ ฝุ่นละอองและไอน้ำ จำนวนร้อยละ 0.04

สมบัติของอากาศ
  1)      อากาศมีตัวตนและสัมผัสได้
  2)     อากาศมีน้ำหนัก
  3)     อากาศต้องการที่อยู่
  4)      อากาศเคลื่อนที่ได้ อากาศเมื่อได้รับความร้อนจะขยายตัว และลอยตัวสูงขึ้นทำให้ความหนาแน่นของอากาศบริเวณนี้ลดลง อากาศบริเวณใกล้เคียงที่มีอุณหภูมิต่ำกว่าความหนาแน่นมากกว่าจะเข้ามาแทนที่ ซึ่งเราเรียกว่า การเคลื่อนที่ของอากาศ หรือ ลม


อากาศจะเกิดการเคลื่อนที่อยู่เสมอ บางเวลาเคลื่อนที่น้อย บางเวลา เคลื่อนที่มาก ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอากาศขึ้น ซึ่งเราสามารถสังเกตได้ง่าย ๆ เช่น มีลมพัด มีเมฆ มีฝนตก เป็นต้น
อุณหภูมิ คือ ระดับความร้อนหนาวของอากาศ ถ้าอากาศหนาวอุณหภูมิจะลดต่ำลง ถ้าอากาศร้อนอุณหภูมิจะสูงขั้น เครื่องมือที่ใช้วัดอุณหภูมิ หรือระดับความร้อนหนาวของสิ่งต่าง ๆ คือ เทอร์มอมิเตอร์ หน่วยของอุณหภูมใช้หน่วยเป็นองศาเซลเซียส และองศาฟาเรนไฮต์


ประโยชน์ของอากาศ
  1)      อากาศเป็นสิ่งจำเป็นในการหายใจของสิ่งมีชีวิต ถ้าขาดอากาศ สิ่งมีชีวิตจะไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้
  2)     อากาศช่วยปรับอุณหภูมิของโลกให้พอเหมาะ โดยทำหน้าที่คล้ายเครื่องปรับอุณหภูมิ ไม่ให้ร้อน หรือเย็นเกินไป นอกจากนั้น บรรยากาศที่หุ้มห่อโลกของเรายังทำหน้าที่กรอง และดูดรังสีอัลตราไวโอเลต หรือแสงเหนือม่วงไว้ไม่ให้ผ่านเข้ามาสู่โลกชั้นในมากจนเป็นอันตรายต่อสิ่งที่มีชีวิต
  3)     ช่วยป้องกันอันตรายจากสิ่งที่มาจากภายนอกโลก เช่น อุกกาบาต ขยะอวกาศ

  4)      ทำให้เกิดเมฆฝน และเกิดฝน















เตรียมตัวสอบ O-Net - แนวข้อสอบ O-Net - ประถมต้น (แนวข้อสอบ O-Net ป.3) - เนื้อหาวิชา วิทยาศาสตร์ - ไฟฟ้าในบ้าน

เตรียมตัวสอบ O-Net - แนวข้อสอบ O-Net - ประถมต้น (แนวข้อสอบ O-Net ป.3) - เนื้อหาวิชา วิทยาศาสตร์ - ไฟฟ้าในบ้าน




ไฟฟ้าในบ้าน



ไฟฟ้า
          ไฟฟ้า เป็นพลังงานรูปแบบหนึ่งที่สามารถเปลี่ยนรูปไปเป็นพลังงานอย่างอื่นได้ และเป็นพลังงานที่มนุษย์นำมาใช้เป็นพลังงานสำหรับเครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ ให้สามารถทำงานได้
          พลังงานไฟฟ้าที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ใช้งานได้สะดวกอย่างแพร่หลายที่สุด คือ ไฟฟ้ากระแส

ไฟฟ้ากะแส แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1.       ไฟฟ้ากระแสตรง เป็นไฟฟ้ากระแสที่ได้จากแบตเตอรี่ ถ่านไฟฉาย และไดนาโมกระแสตรง
2.      ไฟฟ้ากระแสสลับ เป็นไฟฟ้ากระแสที่ใช้ตามบ้านเรือนทั่วไป ไฟฟ้าชนิดนี้มาจากการหมุนของไดนาโมกระแสสลับ หรือแหล่งพลังงานอื่น ๆ

แบ่งประเภทของโรงไฟฟ้าตามวิธีการผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ดังนี้
1.      โรงไฟฟ้าพลังน้ำ
โรงไฟฟ้าพลังน้ำ เป็นโรงไฟฟ้าที่ได้จากเขื่อนที่เก็บน้ำ ให้พลังงานของน้ำที่เคลื่อนที่จากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ ไปขับดันกังหัน เมื่อกังหันหมุน เครื่องกำเนิดไฟฟ้าซึ่งต่ออยู่กับกังหันก็จะหมุนตามไปด้วย ทำให้เครื่องกำเนิดไฟฟ้าทำงานผลิตกระแสออกมา โรงไฟฟ้าแบบนี้เราเรียกว่า เขื่อนผลิตไฟฟ้า เขื่อนที่ใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าที่สำคัญ ได้แก่ เขื่อภูมิพล เขื่อนสิริกิตติ์ เขื่อนศรีนครินทร์ เขื่อนสิรินธร เขื่อนจุฬาภรณ์ เขื่อนอุบลรัตน์ เขื่อนรัชชประภา เป็นต้น

2.      โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อน
โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อน เป็นโรงไฟฟ้าที่ใช้ความร้อนจากการนำเชื้อเพลิงมาทำให้เกิดการเผาไหม้ มาต้มน้ำให้เดือด แล้วใช้แรงดันจากไอน้ำเดือดนั้นมาทำให้ใบพัดที่ติดกับแกนของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าหมุน ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าขึ้น พลังงานความร้อนเป็นแหล่งผลิตกระแสไฟฟ้าให้แก่ประเทศไทยได้มากที่สุด
3.     โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์
โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ใช้พลังงานแสงอาทิตย์เปลี่ยนไปเป็นพลังงานไฟฟ้าโดยใช้เซลล์แสงอาทิตย์ เซลล์แสงอาทิตย์เซลล์หนึ่งให้กำลังไฟฟ้าไม่มากนัก แต่เอนำมาต่อกัน   หลาย ๆ เซลล์ ก็จะทำให้กำลังไฟฟ้าสูงขึ้น และนำไปใช้งานได้
ปัจจุบันเซลล์สุริยะมีราคาแพง ในขณะที่มีประสิทธิภาพเพียงร้อยละ 30 เท่านั้น หากต้องการพลังงานมาก ๆ เพื่อจำหน่างให้ตามบ้านเรือน จะต้องใช้เซลล์สุริยะที่มีขนาดใหญ่ และต้องใช้พื้นที่มาก
การผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ เป็นการผลิตที่ไม่ก่อให้เกิดมลพิษใด ๆ นอกจากนั้นเซลล์สุริยะมีประโยชน์มากในอวกาศ ดาวเทียมต่าง ๆ ที่ถูกส่งขึ้นไปโคจรรอบโลกจึงมีเซลล์สุริยะเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ใช้ผลิตกระแสไฟฟ้า เพื่อใช้ในการทำงานของดาวเทียม

4.     โรงไฟฟ้าพลังงานลม
โรงไฟฟ้าพลังงานลม เป็นโรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานลมมาทำให้แกนของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าหมุน และผลิตพลังงานไฟฟ้าออกมา เครื่องกังหันลม จะมีกลไกปรับทิศทางให้ตัวกังหันปะทะลมได้เต็มที่ตลอดเวลา
ปัจจุบัน มีการติดตั้งกังหันลม เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าที่แหลมพรหมเทพ จังหวัดภูเก็ต
ข้อเสียของการผลิตกระแสไฟฟ้าจากกังหันลม คือ มีเสียงดัง และถ้าติดตั้งเป็นจำนวนมาก ก็จะทำลายทัศนียภาพ

5.     โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ
โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ เป็นโรงไฟฟ้าที่นำพลังงานความร้อนจากใด้พิภพมาผลิตกระแสไฟฟ้า โดยนำไอน้ำจากแหล่งความร้อนที่มีไอน้ำอยู่ มาหมุนกังหันผลิตกระแสไฟฟ้า ปัจจุบันได้มีการใช้พลังงานความร้อนใต้พิภพผลิตกระแสไฟฟ้าที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่

6.     โรงไฟฟ้าปรมาณู หรือโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
โรงไฟฟ้าปรมาณู เป็นการใช้พลังงานปรมาณูผลิตกระแสไฟฟ้า โดยนำความร้อนจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ไปต้มน้ำให้เดือดกลายเป็นไอ แล้วให้ไอน้ำหมุนกังหันของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า


7.     โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำขึ้นน้ำลง
นอกจากโรงไฟฟ้าที่ได้กล่าวถึงแล้ว ยังมีโรงไฟฟ้าประเภทอื่น ๆ ที่ผลิตพลังงานไฟฟ้าโดยใช้พลังงานน้ำขึ้นน้ำลง โดยสร้างเขื่อนขวากตรงปากอ่าวที่มีความกว้างไม่มากนัก หรือขวางแม่น้ำ โดยมีช่องให้น้ำไหลผ่าน ภายในช่องจะมีกังหันซึ่งต่ออยู่กับเครื่องกำเนิดไฟฟ้า กังหันนี้จะหมุน ขณะที่น้ำขึ้นน้ำลง
ข้อเสียของโรงไฟฟ้าแบบนี้ คือ จะผลิตกระแสไฟฟ้าขณะที่น้ำกำลังขึ้น และกำลังลงเท่านั้น และทำให้พืชและสัตว์ต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ในอ่าว ได้รับผลกระทบจากช่วงเวลาการท่วมของน้ำที่นานขึ้นกว่าเดิม

8.     โรงไฟฟ้าพลังงานคลื่น
โรงไฟฟ้าพลังงานคลื่น นำพลังงานคลื่นในทะเลและมหาสมุทรมาใช้ โดยสร้างเป็นสถานีผลิตกระแสไฟฟ้าอยู่ในทะเลบริเวณน้ำตื้น แล้วให้พลังงานจากคลื่นไปผ่านกลไกที่ออกแบบเป็นพิเศษ ซึ่งจะไปทำให้แกนของเครื่องกำเนิดกระแสไฟฟ้าหมุน

เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน
1.      เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อน
เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าไปเป็นพลังงานความร้อน เช่น เตารีดไฟฟ้า หม้อหุงข้าวฟ้า กาต้มน้ำร้อน เป็นต้น

2.      เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้พลังงานกล
เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานกล เช่น พัดลม เครื่องปั่นน้ำผลไม้ เครื่องซักผ้า เป็นต้น

3.     เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ทั้งพลังงานกล และพลังงานความร้อน
เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าให้เป็นพลังงานกล และพลังงานความร้อนพร้อม ๆ กัน อุปกรณ์หลักมี 2 อย่าง คือ อุปกรณ์ที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานกล เช่น มอเตอร์ และอุปกรณ์ที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานความร้อน เช่น ลวด นิโครม
ตัวอย่างของเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทนี้ เช่น เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น เครื่องเป่าผม   เป็นต้น

4.     เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้แสงสว่าง
เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้พลังงานไฟฟ้าเปลี่ยนให้เป็นแสงสว่าง ได้แก่ หลอดไฟประเภทต่าง ๆ เช่น หลอนอินแคนเดสเซนต์ (หลอดไส้) หลอดฟลูออเรสเซนต์ (หลอดเรืองแสง) และหลอดนีออน เป็นต้น

5.     เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้พลังงานเสียงและภาพ

เครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทนี้จะมีอุปกรณ์ทางไฟฟ้าและอุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์เป็นส่วนประกอบ เปลี่ยนสัญญาณทางไฟฟ้าและสัญญาณทางอิเล็กทรอนิกส์ออกสู่ลำโพงเป็นเสียง และออกสู่จอเป็นภาพ เช่น โทรทัศน์ วิทยุ คอมพิวเตอร์ เป็นต้น










เตรียมตัวสอบ O-Net - แนวข้อสอบ O-Net - ประถมต้น (แนวข้อสอบ O-Net ป.3) - เนื้อหาวิชา วิทยาศาสตร์ - แรงและการเคลื่อนที่

เตรียมตัวสอบ O-Net - แนวข้อสอบ O-Net - ประถมต้น (แนวข้อสอบ O-Net ป.3) - เนื้อหาวิชา วิทยาศาสตร์ - แรงและการเคลื่อนที่





แรงและการเคลื่อนที่



ชนิดของแรง
1.      แรงที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์
แรงที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ หมายถึง แรงที่เกิดจากการเคลื่อนไหว ซึ่งอาจเป็นแรงจากกล้ามเนื้อของเรา เช่น การยกของ ขว้างก้อนหิน แรงดึง แรงผลัก เป็นต้น หรือเป็นแรงที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น เช่น แรกจากเครื่องกล ได้แก่ รถยนต์ เรือ เรือบิน รวมไปถึงแรงที่เกิดจากเครื่องผ่อนแรงทั้งหลาย เช่น ลูกรอก เป็นต้น

2.      แรงที่เกิดจากธรรมชาติ
แรงที่เกิดจากธรรมชาติ เป็นแรงที่มนุษย์ไม่ได้กระทำขึ้น แต่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ เช่น แรงลม แรงดันนั้น แรงแม่เหล็ก แรงนิวเคลียร์ แรงโน้มถ่วง เป็นต้น

แรงโน้มถ่วงของโลก
          วัตถุต่าง ๆ ที่ปล่อยจากที่สูงบนผิวโลก จะตกลงสู่พื้นโลกเสมอ เพราะโลกและวัตถุต่าง ๆ นั้น จะออกแรงดึงดูดซึ่งกันและกัน นักวิทยาศาสตร์เรียกแรงดึงดูดที่โลกดึงดูดวัตถุนี้ว่า แรงโน้มถ่วงของโลก
          แรงดึงดูดของโลกหรือแรงโน้มถ่วงของโลก ทำให้วัตถุสิ่งของต่าง ๆ ที่อยู่บนโลกมีน้ำหนัก ดังนั้น เมื่อเรายกสิ่งของต่าง ๆ จะรู้สึกว่า สิ่งของเล่านั้นมีน้ำหนัก เราต้องออกแรงยกขึ้น ซึ่งจะมาก หรือน้อย ขึ้นอยู่กับสิ่งของเหล่านั้นมีน้ำหนักมากหรือน้อย ทั้งนี้เพราะมีแรงดึงดูดระหว่างโลกกับสิ่งของเหล่านั้น

มวลและน้ำหนัก
          มวล หมายถึง ปริมาณของเนื้อสารที่มีอยู่ในวัตถุ ซึ่งจะมีค่าคงที่ตลอดเวลา ไม่ว่าวัตถุนั้นจะอยู่ที่ไหนก็ตาม วัตถุใดมีเนื้อสารมากจะมีมวลมาก และวัตถุใดมีเนื้อสารน้อย จะมีมวลน้อย เราสามารถวัดมวลของวัตถุได้โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า เครื่องชั่ง
          น้ำหนัก คือ แรงดึงดูดของโลกที่ดึงให้วัตถุตกลงสู่พื้น น้ำหนักของวัตถุขึ้นกับแรงดึงดูดของโลกที่กระทำต่อวัตถุนั้น แรงดึงดูดของโลกจะแตกต่างกันไปตามแต่ละสถานที่
          ถ้าเราชั่งน้ำหนักบนดวงจันทร์ จะพบว่า น้ำหนักของเราจะน้อยกว่าเมื่อชั่งบนโลก และในอวกาศ ตัวเราหรือวัตถุต่าง ๆ จะอยู่ในสภาพไร้น้ำหนัก

ประโยชน์ของแรงโน้มถ่วง
1)      ช่วยผ่อนแรงเวลายกของลงจากที่สูง
2)     ช่วยดึงดูดวัตถุบนโลกไม่ให้หลุดลอยไปในอวกาศ
3)     ทำให้วัตถุบนพื้นโลกทุกชนิดมีน้ำหนัก
4)      ช่วยให้เกิดแรงน้ำ เนื่องจากทำให้น้ำไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ
5)     ช่วยในการก่อสร้าง เช่น การใช้ลูกดิ่งหามุมฉาก

โทษของแรงโน้มถ่วง
1)      สิ่งของที่ตกจากที่สูงจะได้รับความเสียหาย เช่น แก้วแตก
2)     ทำให้ร่างกายได้รับอันตรายจากการตกจากที่สูง
3)     ต้องออกแรงมากเมื่อต้องการเคลื่อนย้ายวัตถุ
4)      ต้องออกแรงมากกว่าปกติ เมื่อต้องยกของขึ้นที่สูง หรือเดินขึ้นที่สูง
5)     สิ้นเปลืองพลังงานมากเมื่อต้องการส่งจรวดออกไปนอกโลก

แรงเสียดทาน
          แรงเสียดทาน เป็นแรงที่ต่อต้านการเคลื่อนที่ของวัตถุโดยมีทิศทางไปทางตรงข้ามกับวัตถุที่เคลื่อนที่ไป แรงเสียดทานนี้จะปรากฏอยู่ที่ผิวของวัตถุที่จะเคลื่อนที่
          การย้ายโต๊ะ ตู้ ไปบนพื้นที่ลื่น สามารถทำได้ง่ายขึ้นเมื่อใช้ผ้าหนา ๆ มารองข้างล่างแล้วดันไป ดังนั้น จงมีการประดิษฐ์อุปกรณ์ที่ช่วยลดแรงเสียดทานที่เกิดขึ้น เพื่อลดการสัมผัสระหว่างวัตถุกับพื้นผิว เช่น การทำล้อเลื่อน และการใช้น้ำมันหล่อลื่น เป็นต้น

          โดยสรุป วัตถุที่ไถลไปบนพื้นแล้วหยุดนิ่ง ก็เพราะมีแรงเสียดทานระทำในทิศตรงกันข้ามกับทิศที่วัตถุเคลื่อนที่ ซึ่งเมื่อวัตถุหยุดแล้ว แรงเสียดทานก็จะหมดไปด้วย
















เตรียมตัวสอบ O-Net - แนวข้อสอบ O-Net - ประถมต้น (แนวข้อสอบ O-Net ป.3) - เนื้อหาวิชา วิทยาศาสตร์ - สารรอบตัวเรา

เตรียมตัวสอบ O-Net - แนวข้อสอบ O-Net - ประถมต้น (แนวข้อสอบ O-Net ป.3) - เนื้อหาวิชา วิทยาศาสตร์ - สารรอบตัวเรา




สารรอบตัวเรา



วัสดุที่นำมาใช้ทำของเล่น และของใช้โดยทั่วไปมี 2 ประเภท คือ
1.       วัสดุจากธรรมชาติ เป็นวัสดุเกิดจากธรรมชาติ เช่น ดิน หิน ทราย ไม ยาง ฝ้าย หนังสัตว์ ขนสัตว์ เป็นต้น
2.      วัสดุที่มนุษย์ผลิตขึ้น เช่น พลาสติก แก้ว เส้นใยสังเคราะห์ ปูนซีเมนต์ โลหะ เป็นต้น

วัสดุแต่ละประเภท มีสมบัติต่างกันไป ได้แก่ ความเหนียว ความแข็ง ความเปราะ แตกหักง่าย ความยืดหยุ่น ความนุ่ม ความโปร่งใส ความอ่อน เป็นต้น

สมบัติของวัสดุ

แก้ว
แก้วเป็นของแข็ง โปร่งใส ผิวเรียบ ทนทานต่อการขูดขีด และความร้อน แตกหักง่าย ส่วนใหญ่จะนำมาทำเป็นขวด แก้วน้ำ กระจก อุปกรณ์ในห้องทดลอง นอกจากนั้นยังมีการผลิตแก้วให้มีคุณสมบัติพิเศษเพื่อใช้งานเฉพาะอย่าง เช่น เลนส์แว่นตา เลนส์แว่นขยาย กระจกเงา กระจกนิรภัย เป็นต้น

          พลาสติก
          พลาสติก เป็นวัสดุสังเคราะห์จากอุตสาหกรรมปิโตรเคมี มีน้ำหนักเบา ไม่นำความร้อน ไม่นำไฟฟ้า ทนต่อกรดและเบส  น้ำซึมผ่านไม่ได้ ไม่แตกหักง่าย บางชนิดมีความแข็ง บางชนิดสามารถยืดหยุ่นได้ นำมาใช้ทำของเล่นและของใช้ได้หลากหลาย





          โฟม
          โฟม เป็นวัสดุพลาสติกที่ผ่านกระบวนการเติมแก๊ส โฟมจึงมีฟองอากาศแทรกอยู่ระหว่างเนื้อของวัสดุ จึงมีน้ำหนักเบา มีความยืดหยุ่น เป็นฉนวนความร้อน จึงนิยมนำมาใช้ทำเป็นกล่องบรรจุอาหาร บุในกระติกน้ำแข็ง บุฝาผนังห้องเย็น และนำมาใช้ทำเป็นรูปทรงในงานต่าง ๆ เพราะมีน้ำหนักเบา และตัดได้ง่าย เช่น จัดตกแต่งเวที ตัดเป็นตัวอักษรและอื่น ๆ

          ยาง
          ยางทำมาจากยางของต้นยางพารา มีความยืดหยุ่นได้ดี ใช้ทำยางรถยนต์ ยางลบ ลูกโป่ง พื้นรองเท้า เป็นต้น

          โลหะ
          โลหะ เป็นวัสดุที่มีผิวมันวาว สามารถตีให้เป็นแผ่นเรียบ หรือดึงออกเป็นเส้น หรืองอได้ โดยไม่หัก นำไฟฟ้า และนำความร้อนได้ดี เช่น เหล็ก ทองแดง อะลูมิเนียม เงิน ทอง สังกะสี ตะกั่ว โครเมียม และนิกเกิล เป็นต้น นำมาใช้ในการทำอุปกรณ์เครื่องใช้ชนิดต่าง ๆ และเครื่องประดับ เป็นต้น

          เซรามิก
          เซรามิก เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากดิน หิน หรือแร่อื่น ๆ ที่ไม่ใช่โลหะ โดยทำเป็นรูปทรงต่าง ๆ แล้วผ่านการให้ความร้อนที่อุณหภูมิสูงมาก ๆ ผลิตภัณฑ์ที่ได้จะมีความแข็ง แต่เปราะต่อแรงกระแทก ทนต่อกรดและเบส ทนต่อสภาพอากาศ และความชื้น มีสมบัติเป็นฉนวนไฟฟ้า นิยมทำเป็นของประดับบ้าน และใช้เป็นวัตถุไฟในอุปกรณ์ไฟฟ้า

          ไม้
          ไม้ มีลักษณะแข็ง ทนทาน สามารถทำเฟอร์นิเจอร์ เยื่อไม้นำมาทำกระดาษ เช่น สมุด หนังสือ หนังสือพิมพ์ กระดาษ เนื้อเยื่ออ่อน เป็นต้น





          ผ้า
          ผ้าทำจากเส้นฝนที่นำมาทอเป็นผืนผ้า เส้นใยแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ 2 ประเภท คือ
1)      เส้นใยธรรมชาติ เป็นเส้นใยที่ได้จากพืชและสัตว์ ผ้าที่ผลิตจากเส้นใยที่ได้จากพืช ได้แก่ ผ้าฝ้าย ผ้าลินิน ผ้าใยสับปะรด และผ้าป่าน ผ้าที่ผลิตจากเส้นใยที่ได้จากสัตว์ ได้แก่ ผ้าไหม ผ้าขนสัตว์
2)     เส้นใยสังเคราะห์ เป็นเส้นใยที่ผลิตขึ้นจากสารเคมี ผ้าทีผลิตจากเส้นใยสังเคราะห์ ได้แก่ ผ้าไนลอน พอลิแอสเตอร์ และอะคริลิก มีสมบัติไม่ค่อยยับ ซักง่าย แห้งเร็ว ไม่ดูดซึมเหงื่อ เพราะไม่มีช่องระบายอากาศ จึงไม่นิยมนำมาใช้เป็นเครื่องนุ่งห่มในบ้านเรา เนื่องจากมีสภาพอากาศร้อน

การเปลี่ยนแปลงของวัสดุ
วัสดุต่าง ๆ รอบตัวเรา เมื่อมีการบีบ ทุบ ดัด ดึง จะทำให้วัสดุมีการเปลี่ยนแปลงสภาพไปดังนี้
-        การบีบ คือ การทำให้วัสดุหดตัวลง  เช่น บีบลูกโป่ง บีบฟองน้ำ เป็นต้น
-        การบิด คือ การทำให้วัสดุบิดเบี้ยว เช่น บิดผ้า บิดลวด เป็นต้น
-        การทุบ คือ การทำให้วัสดุแตก หรือยุบด้วยแรงกระแทก เช่น ทุบกระป๋อง ทุบกะลามะพร้าว เป็นต้น
-        การดัด คือ การทำให้วัสดุโค้งงอได้ตามที่เราต้องการ เช่น ดัดเหล็กประตู หน้าต่าง เป็นต้น
-        การดึง คือ การทำให้วัสดุยืดขยายขึ้น เช่น การดึงยางรัดของ การดึงฝากระป๋องน้ำอัดลม เป็นต้น

นอกจากการออกแรงกระทำวัสดุด้วยวิธีต่าง ๆ แล้ว ความร้อนและความเย็นทำให้วัสดุเปลี่ยนแปลงรูปร่างได้






          ผลจากการเปลี่ยนแปลงของวัสดุ
          ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงของวัสดุ
1)      การนำเหล็กมาหลอมเป็นเส้นเพื่อใช้ในการก่อสร้างอาการบ้านเรือน รางรถไฟ หรือ ของใช้ต่าง ๆ
2)     ใช้เครื่องมือดัดเหล็กให้โค้งงอเป็นรูปต่าง ๆ เพื่อนำมาเป็นเหล็กดัดบริเวณประตู หน้าต่าง ป้องกันขโมยได้
3)     สปริง เมื่อถูกดึง จะยึดได้ เราสามารถนำมาทำเครื่องชั่งสปริง
4)      รถยนต์ เมื่อถูกอัดแรง ๆ หรือเกิดการชนกัน จะสามารถยุบตัว ทำให้เราปลอดภัยจากแรงกระแทกได้
5)     การยืดของยาง ทำให้เราสามารถนำยางมารัดของได้
6)     เราสามารถนำเศษพลาสติกมาหลอมด้วยความร้อน ทำเป็นภาชนะใบใหม่ได้
7)      ใช้ในการทำผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น หลอมของเล่น หล่อพระ หล่อเทียน เป่าแก้ว หล่อพลาสติก เป็นต้น
8)     นำสมบัติความเหนียวของวัสดุมาใช้ทำเชือกขนาดต่าง ๆ เพื่อใช้มัดสิ่งของ

ผลเสียและอันตรายที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงขอววัสดุ
1)      วัสดุอาจจะใช้งานไม่ได้ตามเดิม เช่น แก้วน้ำที่มีรอยร้าว ถ้วยชามกระเบื้องที่แตก เศษกระเบื้อง หรือเศษวัสดุต่าง ๆ ที่แตกหัก อาจบาดมือของคนที่จับ หรือบาดเท้าคนที่เดินเหยียบได้
2)     การยืดของยางส่วนใหญ่จะหดกลับคืนสู่สภาพเดิม เมื่อถูกความร้อน หรือเมื่อยืด  บ่อย ๆ อาจทำให้เสียสภาพไป และใช้งานไม่ได้
3)     ของใช้บางอย่าง เมื่อถูกแรงบิด หรือแรงกดทับ ทำให้เสียรูปร่างไปจนใช้งานไม่ได้ เช่น ขาแว่นตา หากถูกแรงบิด หรือถูกแรงกดทับจนเสียรูปทรง ทำให้ใช้งานไม่ได้ตามเดิม
4)      วัสดุบางบางเป็นสารที่ไวไฟ คือ ติดไฟได้ง่าย แล้วทำให้เกิด เขม่า หรือควัน เช่น น้ำมันเชื้อเพลิง เป็นต้น

5)     การเก็บวัสดุต่าง ๆ ไว้อย่างปลอดภัย เป็นการป้องกันอันตรายได้ เช่น ไม่เก็บกระป๋อง สเปรย์ไว้ในที่อุณหภูมิสูง หรือ ไม่นำไปเผา เพราะอาจเกิดระเบิดได้






เตรียมตัวสอบ O-Net - แนวข้อสอบ O-Net - ประถมต้น (แนวข้อสอบ O-Net ป.3) - เนื้อหาวิชา วิทยาศาสตร์ - ทรัพยากรธรรมชาติ

เตรียมตัวสอบ O-Net - แนวข้อสอบ O-Net  - ประถมต้น (แนวข้อสอบ O-Net ป.3) - เนื้อหาวิชา วิทยาศาสตร์ - ทรัพยากรธรรมชาติ






ทรัพยากรธรรมชาติ



ทรัพยากรธรรมชาติ หมายถึง สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติทุกชนิดที่มีประโยชน์ต่อมนุษย์ เช่น ดิน น้ำ ป่าไม้ แสงอาทิตย์ เป็นต้น

ประเภทของทรัพยากรธรรมชาติ
          ทรัพยากรธรรมชาติ แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท คือ
1.       ทรัพยากรธรรมชาติประเภทไม่หมด เป็นทรัพยากรที่สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างไม่มีวันหมด ได้แก่ น้ำ อากาศ แสงแดด
2.      ทรัพยากรธรรมชาติประเภทหมุนเวียน เป็นทรัพยากรที่ใช้แล้วอาจเกิดขึ้นใหม่ได้โดยธรรมชาติ หรือโดยมนุษย์ เช่น ป่าไม้ สัตว์ป่า
3.      ทรัพยากรธรรมชาติประเภทสิ้นเปลือง เป็นทรัพยากรที่ใช้แล้วจะหมดสิ้นไป ทำให้เกิดขึ้นใหม่ได้ยาก ได้แก่ สินแร่ต่าง ๆ แก๊สธรรมชาติ ถ่านหิน และน้ำมันเชื้อเพลิง

ทรัพยากรธรรมชาติในท้องถิ่น
          ดิน
          ดินเป็นทรัพยากรที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เกิดจากส่วนผสมของแร่ธาตุต่าง ๆ ที่ได้จากการเปลี่ยนแปลง และสลายตัวของเปลือกโลกกับซากพืชซากสัตว์ที่เน่าเปื่อยผุพังอยู่รวมกันเป็นชั้น ๆ
          ชนิดของดิน
1.       แบ่งตามลักษณะของชั้นดิน เป็นดินชั้นบนและดินชั้นล่าง
-        ดินชั้นบน เป็นดินที่อุดมสมบูรณ์ เพราะมีอินทรียวัตถุมาก เหมาะแก่การเจริญเติบโตของพืช ใช้ในการเพาะปลูกมากที่สุด
-        ดินชั้นล่าง มีความเหนียวและแน่น อยู่ถัดจากดินชั้นบนลงไป มีแร่ธาตุอาการของพืชน้อย รากพืชงอกหยั่งลงไปได้ยาก

2.     แบ่งตามลักษณะของดิน
-        ดินเหนียว เป็นดินมีสีคล้ำ เนื้อดินละเอียด จับตัวกันแน่น น้ำและอากาศซึมผ่านได้ยาก อุ้มน้ำได้ดี เวลาแห้ง จะจับตัวเป็นก้อนแข็ง
-        ดินทราย เป็นดินที่มีสีน้ำตาลเข้ม มีทรายปนอยู่มาก เม็ดดินมีลักษณะใหญ่ และหยาบ ไม่เกาะตัว น้ำและอากาศซึมผ่านได้ยาก ไม่อุ้มน้ำ เหมาะแก่พืชที่ต้องการน้ำน้อย เช่น กระบองเพชร และมันสำปะหลัง
-        ดินร่วน เป็นดินที่มีเม็ดดินใหญ่กว่าดินเหนียว เนื้อดินโปร่งกว่าดินเหนียว มีสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ น้ำซึมผ่านได้ง่าย อากาศสามารถถ่ายเทได้สะดวกกว่าดินเหนียว มีซากพืช ซากสัตว์ ปนอยู่มากกว่าดินเหนียว ดินร่วนจึงเหมาะแก่การปลูกพืชทั่วไป

น้ำ
แหล่งน้ำธรรมชาติ
แหล่งน้ำธรรมชาติ หมายถึง แหล่งน้ำที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ สามารถแบ่งได้ 3 ประเภท ดังนี้
1.       แหล่งน้ำในบรรยากาศ เช่น ไอน้ำ หมอก เป็นต้น
2.      แหล่งน้ำผิวดิน เช่น ทะเล ทะเลสาบ มหาสมุทร แม่น้ำลำคลอง น้ำตก เป็นต้น
3.      แหล่งน้ำใต้ดิน เป็นแหล่งน้ำที่อยู่ลึกลงไปจากผิวดิน จะแทรกตัวอยู่ระหว่างชั้นดิน และชั้นหิน น้ำที่อยู่ในชั้นดินจะเป็นน้ำที่อยู่ในระดับตื้น ๆ ส่วนน้ำที่อยู่ในชั้นหินจะเป็นน้ำที่อยู่ในระดับลึก เรียกว่า น้ำบาดาล

น้ำจากแหล่งต่าง ๆ เมื่อได้รับความร้อนจากแสงอาทิตย์ จะระเหยเป็นไอลอยสูงขึ้นไปในอากาศ เมื่อไอน้ำกระทบกับความเย็น จะกลั่นตัวกลายเป็นละอองน้ำ รวมตัวกันเป็นก้อนเมฆ และตกลงมาเป็นฝน ซึมสู่ป่าและพื้นดิน แล้วไหลลงสู่แหล่งน้ำตามเดิม ลักษณะที่กล่าวถึงเป็นปรากฏการณ์หมุนเวียนของน้ำ ซึ่งเราเรียกว่า วัฏจักรของน้ำ

          อากาศ
          อากาศ คือ บรรยากาศที่ห่อหุ้มโลกโดยรอบ ประกอบด้วยแก๊สไนโตรเจน ออกซิเจน คาร์บอนไดออกไซด์ ไอน้ำ ฝุ่นละออง และแก๊สอื่น ๆ อีกในปริมาณเล็กน้อย

          ป่าไม้
          ป่าไม้ หมายถึง พื้นที่ที่มีต้นไม้หลากหลายชนิด ขึ้นอยู่รวมกันจำนวนมาก มีทั้งต้นไม้ขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ ป่าไม้เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีความสำคัญเช่นเดียวกับดินและน้ำ

          สัตว์ป่า
          สัตว์ป่า หมายถึง สัตว์ทุกชนิดที่อาศัยอยู่ในป่าตามธรรมชาติ สัตว์ป่าจะอาศัยอยู่ในป่าลึก เพราะมีอาหารที่สมบูรณ์ และสามารถหลบภัยอันตรายได้อีกด้วย

          แร่ธาตุ
          แร่ธาตุ เป็นทรัพยากรที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ประเภทใช้แล้วหมดไป แร่ธาตุเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งในการดำรงชีวิตของมนุษย์

คุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติ
1.      ดิน
ดินมีความสำคัญยิ่งต่อสิ่งมีชีวิต มนุษย์ใช้ดินเป็นแหล่งทำการเกษตร และเลี้ยงสัตว์ และเป็นที่อยู่อาศัย เป็นแหล่งผลิตอาหาร ยารักษาโรค และเครื่องนุ่งห่ม

2.      น้ำ
น้ำมีประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ สัตว์ และพืช ดังนี้
1)      คนและสัตว์ใช้ดื่มกิน
2)     ใช้ชำระสิ่งต่าง ๆ ใช้อาบน้ำ เพื่อชำระล้างสิ่งสกปรก
3)     ใช้ในการเกษตร การเพาะปลูก และเลี้ยงสัตว์
4)      เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำ และพืช
5)     ใช้ประโยชน์ในการอุตสาหกรรมทุกชนิด
6)     ใช้เป็นเส้นทางคมนาคมในการติดต่อสื่อสาร และติดต่อทางการค้า
7)      ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า จากพลังน้ำที่กักเก็บไว้ในเขื่อนมาผลิตกระแสฟ้า
8)     เป็นแหล่งของทรัพยากรที่สำคัญ เช่น แก๊สธรรมชาติ และเกลือ เป็นต้น
9)     เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ


3.     อากาศ
อากาศ เป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต พืช สัตว์ และมนุษย์ต่างใช้แก๊สออกซิเจนในการหายใจ ถ้าไม่มีอากาศ สิ่งมีชีวิตจะตายหมด นอกจากนั้น พืชใช้แก๊สคาร์บอรไดออกไซด์ในการสร้างอาหารโดยการสังเคราะห์ด้วยแสง

4.      ป่าไม้
ป่าไม้มีประโยชน์มากต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ อังนี้
1)      เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า
2)     นำมาสร้างอาคารบ้านเรือน ใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ กระดาษ ฟืน ส่วนต่าง ๆ ของพืชจากป่าใช้เป็นอาหาร ใช้ทำเครื่องนุ่งห่ม และใช้เป็นยารักษาโรค
3)     ให้แก๊สออกซิเจนแก่มนุษย์
4)      เป็นแหล่งกำเนิดของต้นน้ำ
5)     ให้ความชุ่มชื้น และควบคุมสภาพอากาศ
6)     ช่วยชะลอความรุนแรงของน้ำป่าที่ไหลหลาก ไม่ให้เข้าท่วมบ้านเรือนอย่างรวดเร็ว
7)      ช่วยป้องกันการกัดเซาะ และพัดพาของหน้าดิน และช่วยลดแรงปะทะจากน้ำฝน และลมพายุ
8)     ใช้เป็นแหล่งพักผ่อน และศึกษาหาความรู้

5.     สัตว์ป่า
มนุษย์นำสัตว์ป่าไปใช้ประโยชน์หลายอย่าง เช่น ใช้ช้างลากซุง ม้าลากรถ เป็นต้น นอกจากนี้สัตว์ป่ายังทำให้ธรรมชาติสมบูรณ์อีกด้วย

6.     แร่ธาตุ
แร่ธาตุ เป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งในการดำรงชีวิตของมนุษย์ เพราะแร่โลหะ และแร่อโลหะ นำไปผลิตเป็นสารเพื่อประโยชน์ทางอุตสาหกรรม และวัตถุต่าง ๆ ที่ใช้ในการดำรงชีวิต เช่น แร่อลูมิเนียม ใช้ทำเครื่องใช้ต่าง ๆ เช่น เครื่องใช้ในครัว เป็นต้น




7.     แร่เชื้อเพลิง
แร่เชื้อเพลิง เป็นแร่ที่นำมาใช้เป็นเชื้อเพลิง ผลิตพลังงานความร้อนและพลังงานแสงสว่าง นอกจากนั้นใช้เป็นวัตถุดิบในโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น อุตสาหกรรมเคมี พลาสติก เป็นต้น

8.     แร่รัตนชาติ

แร่รัตนชาติ ใช้ทำเครื่องประดับ เป็นสินค้าอัญมณีที่มีราคาแพง เช่น เพชร ทับทิม ไพลิน เป็นต้น





Blog เพื่อนการศึกษา

***Blog เพื่อนการศึกษา*** ***สรุปเนื้อหา*** **สรุปเนื้อหา ม.456 สรุปเนื้อหา ชีววิทยา ม.456 สรุปเนื้อหาเข้า ป.1 - ม.6 สรุปเนื้อหา - วิชาสังคม...