วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2557

เตรียมตัวสอบ O-Net - แนวข้อสอบ O-Net - ประถมต้น (แนวข้อสอบ O-Net ป.3) - เนื้อหาวิชา วิทยาศาสตร์ - สารรอบตัวเรา

เตรียมตัวสอบ O-Net - แนวข้อสอบ O-Net - ประถมต้น (แนวข้อสอบ O-Net ป.3) - เนื้อหาวิชา วิทยาศาสตร์ - สารรอบตัวเรา




สารรอบตัวเรา



วัสดุที่นำมาใช้ทำของเล่น และของใช้โดยทั่วไปมี 2 ประเภท คือ
1.       วัสดุจากธรรมชาติ เป็นวัสดุเกิดจากธรรมชาติ เช่น ดิน หิน ทราย ไม ยาง ฝ้าย หนังสัตว์ ขนสัตว์ เป็นต้น
2.      วัสดุที่มนุษย์ผลิตขึ้น เช่น พลาสติก แก้ว เส้นใยสังเคราะห์ ปูนซีเมนต์ โลหะ เป็นต้น

วัสดุแต่ละประเภท มีสมบัติต่างกันไป ได้แก่ ความเหนียว ความแข็ง ความเปราะ แตกหักง่าย ความยืดหยุ่น ความนุ่ม ความโปร่งใส ความอ่อน เป็นต้น

สมบัติของวัสดุ

แก้ว
แก้วเป็นของแข็ง โปร่งใส ผิวเรียบ ทนทานต่อการขูดขีด และความร้อน แตกหักง่าย ส่วนใหญ่จะนำมาทำเป็นขวด แก้วน้ำ กระจก อุปกรณ์ในห้องทดลอง นอกจากนั้นยังมีการผลิตแก้วให้มีคุณสมบัติพิเศษเพื่อใช้งานเฉพาะอย่าง เช่น เลนส์แว่นตา เลนส์แว่นขยาย กระจกเงา กระจกนิรภัย เป็นต้น

          พลาสติก
          พลาสติก เป็นวัสดุสังเคราะห์จากอุตสาหกรรมปิโตรเคมี มีน้ำหนักเบา ไม่นำความร้อน ไม่นำไฟฟ้า ทนต่อกรดและเบส  น้ำซึมผ่านไม่ได้ ไม่แตกหักง่าย บางชนิดมีความแข็ง บางชนิดสามารถยืดหยุ่นได้ นำมาใช้ทำของเล่นและของใช้ได้หลากหลาย





          โฟม
          โฟม เป็นวัสดุพลาสติกที่ผ่านกระบวนการเติมแก๊ส โฟมจึงมีฟองอากาศแทรกอยู่ระหว่างเนื้อของวัสดุ จึงมีน้ำหนักเบา มีความยืดหยุ่น เป็นฉนวนความร้อน จึงนิยมนำมาใช้ทำเป็นกล่องบรรจุอาหาร บุในกระติกน้ำแข็ง บุฝาผนังห้องเย็น และนำมาใช้ทำเป็นรูปทรงในงานต่าง ๆ เพราะมีน้ำหนักเบา และตัดได้ง่าย เช่น จัดตกแต่งเวที ตัดเป็นตัวอักษรและอื่น ๆ

          ยาง
          ยางทำมาจากยางของต้นยางพารา มีความยืดหยุ่นได้ดี ใช้ทำยางรถยนต์ ยางลบ ลูกโป่ง พื้นรองเท้า เป็นต้น

          โลหะ
          โลหะ เป็นวัสดุที่มีผิวมันวาว สามารถตีให้เป็นแผ่นเรียบ หรือดึงออกเป็นเส้น หรืองอได้ โดยไม่หัก นำไฟฟ้า และนำความร้อนได้ดี เช่น เหล็ก ทองแดง อะลูมิเนียม เงิน ทอง สังกะสี ตะกั่ว โครเมียม และนิกเกิล เป็นต้น นำมาใช้ในการทำอุปกรณ์เครื่องใช้ชนิดต่าง ๆ และเครื่องประดับ เป็นต้น

          เซรามิก
          เซรามิก เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากดิน หิน หรือแร่อื่น ๆ ที่ไม่ใช่โลหะ โดยทำเป็นรูปทรงต่าง ๆ แล้วผ่านการให้ความร้อนที่อุณหภูมิสูงมาก ๆ ผลิตภัณฑ์ที่ได้จะมีความแข็ง แต่เปราะต่อแรงกระแทก ทนต่อกรดและเบส ทนต่อสภาพอากาศ และความชื้น มีสมบัติเป็นฉนวนไฟฟ้า นิยมทำเป็นของประดับบ้าน และใช้เป็นวัตถุไฟในอุปกรณ์ไฟฟ้า

          ไม้
          ไม้ มีลักษณะแข็ง ทนทาน สามารถทำเฟอร์นิเจอร์ เยื่อไม้นำมาทำกระดาษ เช่น สมุด หนังสือ หนังสือพิมพ์ กระดาษ เนื้อเยื่ออ่อน เป็นต้น





          ผ้า
          ผ้าทำจากเส้นฝนที่นำมาทอเป็นผืนผ้า เส้นใยแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ 2 ประเภท คือ
1)      เส้นใยธรรมชาติ เป็นเส้นใยที่ได้จากพืชและสัตว์ ผ้าที่ผลิตจากเส้นใยที่ได้จากพืช ได้แก่ ผ้าฝ้าย ผ้าลินิน ผ้าใยสับปะรด และผ้าป่าน ผ้าที่ผลิตจากเส้นใยที่ได้จากสัตว์ ได้แก่ ผ้าไหม ผ้าขนสัตว์
2)     เส้นใยสังเคราะห์ เป็นเส้นใยที่ผลิตขึ้นจากสารเคมี ผ้าทีผลิตจากเส้นใยสังเคราะห์ ได้แก่ ผ้าไนลอน พอลิแอสเตอร์ และอะคริลิก มีสมบัติไม่ค่อยยับ ซักง่าย แห้งเร็ว ไม่ดูดซึมเหงื่อ เพราะไม่มีช่องระบายอากาศ จึงไม่นิยมนำมาใช้เป็นเครื่องนุ่งห่มในบ้านเรา เนื่องจากมีสภาพอากาศร้อน

การเปลี่ยนแปลงของวัสดุ
วัสดุต่าง ๆ รอบตัวเรา เมื่อมีการบีบ ทุบ ดัด ดึง จะทำให้วัสดุมีการเปลี่ยนแปลงสภาพไปดังนี้
-        การบีบ คือ การทำให้วัสดุหดตัวลง  เช่น บีบลูกโป่ง บีบฟองน้ำ เป็นต้น
-        การบิด คือ การทำให้วัสดุบิดเบี้ยว เช่น บิดผ้า บิดลวด เป็นต้น
-        การทุบ คือ การทำให้วัสดุแตก หรือยุบด้วยแรงกระแทก เช่น ทุบกระป๋อง ทุบกะลามะพร้าว เป็นต้น
-        การดัด คือ การทำให้วัสดุโค้งงอได้ตามที่เราต้องการ เช่น ดัดเหล็กประตู หน้าต่าง เป็นต้น
-        การดึง คือ การทำให้วัสดุยืดขยายขึ้น เช่น การดึงยางรัดของ การดึงฝากระป๋องน้ำอัดลม เป็นต้น

นอกจากการออกแรงกระทำวัสดุด้วยวิธีต่าง ๆ แล้ว ความร้อนและความเย็นทำให้วัสดุเปลี่ยนแปลงรูปร่างได้






          ผลจากการเปลี่ยนแปลงของวัสดุ
          ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงของวัสดุ
1)      การนำเหล็กมาหลอมเป็นเส้นเพื่อใช้ในการก่อสร้างอาการบ้านเรือน รางรถไฟ หรือ ของใช้ต่าง ๆ
2)     ใช้เครื่องมือดัดเหล็กให้โค้งงอเป็นรูปต่าง ๆ เพื่อนำมาเป็นเหล็กดัดบริเวณประตู หน้าต่าง ป้องกันขโมยได้
3)     สปริง เมื่อถูกดึง จะยึดได้ เราสามารถนำมาทำเครื่องชั่งสปริง
4)      รถยนต์ เมื่อถูกอัดแรง ๆ หรือเกิดการชนกัน จะสามารถยุบตัว ทำให้เราปลอดภัยจากแรงกระแทกได้
5)     การยืดของยาง ทำให้เราสามารถนำยางมารัดของได้
6)     เราสามารถนำเศษพลาสติกมาหลอมด้วยความร้อน ทำเป็นภาชนะใบใหม่ได้
7)      ใช้ในการทำผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น หลอมของเล่น หล่อพระ หล่อเทียน เป่าแก้ว หล่อพลาสติก เป็นต้น
8)     นำสมบัติความเหนียวของวัสดุมาใช้ทำเชือกขนาดต่าง ๆ เพื่อใช้มัดสิ่งของ

ผลเสียและอันตรายที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงขอววัสดุ
1)      วัสดุอาจจะใช้งานไม่ได้ตามเดิม เช่น แก้วน้ำที่มีรอยร้าว ถ้วยชามกระเบื้องที่แตก เศษกระเบื้อง หรือเศษวัสดุต่าง ๆ ที่แตกหัก อาจบาดมือของคนที่จับ หรือบาดเท้าคนที่เดินเหยียบได้
2)     การยืดของยางส่วนใหญ่จะหดกลับคืนสู่สภาพเดิม เมื่อถูกความร้อน หรือเมื่อยืด  บ่อย ๆ อาจทำให้เสียสภาพไป และใช้งานไม่ได้
3)     ของใช้บางอย่าง เมื่อถูกแรงบิด หรือแรงกดทับ ทำให้เสียรูปร่างไปจนใช้งานไม่ได้ เช่น ขาแว่นตา หากถูกแรงบิด หรือถูกแรงกดทับจนเสียรูปทรง ทำให้ใช้งานไม่ได้ตามเดิม
4)      วัสดุบางบางเป็นสารที่ไวไฟ คือ ติดไฟได้ง่าย แล้วทำให้เกิด เขม่า หรือควัน เช่น น้ำมันเชื้อเพลิง เป็นต้น

5)     การเก็บวัสดุต่าง ๆ ไว้อย่างปลอดภัย เป็นการป้องกันอันตรายได้ เช่น ไม่เก็บกระป๋อง สเปรย์ไว้ในที่อุณหภูมิสูง หรือ ไม่นำไปเผา เพราะอาจเกิดระเบิดได้






เตรียมตัวสอบ O-Net - แนวข้อสอบ O-Net - ประถมต้น (แนวข้อสอบ O-Net ป.3) - เนื้อหาวิชา วิทยาศาสตร์ - ทรัพยากรธรรมชาติ

เตรียมตัวสอบ O-Net - แนวข้อสอบ O-Net  - ประถมต้น (แนวข้อสอบ O-Net ป.3) - เนื้อหาวิชา วิทยาศาสตร์ - ทรัพยากรธรรมชาติ






ทรัพยากรธรรมชาติ



ทรัพยากรธรรมชาติ หมายถึง สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติทุกชนิดที่มีประโยชน์ต่อมนุษย์ เช่น ดิน น้ำ ป่าไม้ แสงอาทิตย์ เป็นต้น

ประเภทของทรัพยากรธรรมชาติ
          ทรัพยากรธรรมชาติ แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท คือ
1.       ทรัพยากรธรรมชาติประเภทไม่หมด เป็นทรัพยากรที่สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างไม่มีวันหมด ได้แก่ น้ำ อากาศ แสงแดด
2.      ทรัพยากรธรรมชาติประเภทหมุนเวียน เป็นทรัพยากรที่ใช้แล้วอาจเกิดขึ้นใหม่ได้โดยธรรมชาติ หรือโดยมนุษย์ เช่น ป่าไม้ สัตว์ป่า
3.      ทรัพยากรธรรมชาติประเภทสิ้นเปลือง เป็นทรัพยากรที่ใช้แล้วจะหมดสิ้นไป ทำให้เกิดขึ้นใหม่ได้ยาก ได้แก่ สินแร่ต่าง ๆ แก๊สธรรมชาติ ถ่านหิน และน้ำมันเชื้อเพลิง

ทรัพยากรธรรมชาติในท้องถิ่น
          ดิน
          ดินเป็นทรัพยากรที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เกิดจากส่วนผสมของแร่ธาตุต่าง ๆ ที่ได้จากการเปลี่ยนแปลง และสลายตัวของเปลือกโลกกับซากพืชซากสัตว์ที่เน่าเปื่อยผุพังอยู่รวมกันเป็นชั้น ๆ
          ชนิดของดิน
1.       แบ่งตามลักษณะของชั้นดิน เป็นดินชั้นบนและดินชั้นล่าง
-        ดินชั้นบน เป็นดินที่อุดมสมบูรณ์ เพราะมีอินทรียวัตถุมาก เหมาะแก่การเจริญเติบโตของพืช ใช้ในการเพาะปลูกมากที่สุด
-        ดินชั้นล่าง มีความเหนียวและแน่น อยู่ถัดจากดินชั้นบนลงไป มีแร่ธาตุอาการของพืชน้อย รากพืชงอกหยั่งลงไปได้ยาก

2.     แบ่งตามลักษณะของดิน
-        ดินเหนียว เป็นดินมีสีคล้ำ เนื้อดินละเอียด จับตัวกันแน่น น้ำและอากาศซึมผ่านได้ยาก อุ้มน้ำได้ดี เวลาแห้ง จะจับตัวเป็นก้อนแข็ง
-        ดินทราย เป็นดินที่มีสีน้ำตาลเข้ม มีทรายปนอยู่มาก เม็ดดินมีลักษณะใหญ่ และหยาบ ไม่เกาะตัว น้ำและอากาศซึมผ่านได้ยาก ไม่อุ้มน้ำ เหมาะแก่พืชที่ต้องการน้ำน้อย เช่น กระบองเพชร และมันสำปะหลัง
-        ดินร่วน เป็นดินที่มีเม็ดดินใหญ่กว่าดินเหนียว เนื้อดินโปร่งกว่าดินเหนียว มีสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ น้ำซึมผ่านได้ง่าย อากาศสามารถถ่ายเทได้สะดวกกว่าดินเหนียว มีซากพืช ซากสัตว์ ปนอยู่มากกว่าดินเหนียว ดินร่วนจึงเหมาะแก่การปลูกพืชทั่วไป

น้ำ
แหล่งน้ำธรรมชาติ
แหล่งน้ำธรรมชาติ หมายถึง แหล่งน้ำที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ สามารถแบ่งได้ 3 ประเภท ดังนี้
1.       แหล่งน้ำในบรรยากาศ เช่น ไอน้ำ หมอก เป็นต้น
2.      แหล่งน้ำผิวดิน เช่น ทะเล ทะเลสาบ มหาสมุทร แม่น้ำลำคลอง น้ำตก เป็นต้น
3.      แหล่งน้ำใต้ดิน เป็นแหล่งน้ำที่อยู่ลึกลงไปจากผิวดิน จะแทรกตัวอยู่ระหว่างชั้นดิน และชั้นหิน น้ำที่อยู่ในชั้นดินจะเป็นน้ำที่อยู่ในระดับตื้น ๆ ส่วนน้ำที่อยู่ในชั้นหินจะเป็นน้ำที่อยู่ในระดับลึก เรียกว่า น้ำบาดาล

น้ำจากแหล่งต่าง ๆ เมื่อได้รับความร้อนจากแสงอาทิตย์ จะระเหยเป็นไอลอยสูงขึ้นไปในอากาศ เมื่อไอน้ำกระทบกับความเย็น จะกลั่นตัวกลายเป็นละอองน้ำ รวมตัวกันเป็นก้อนเมฆ และตกลงมาเป็นฝน ซึมสู่ป่าและพื้นดิน แล้วไหลลงสู่แหล่งน้ำตามเดิม ลักษณะที่กล่าวถึงเป็นปรากฏการณ์หมุนเวียนของน้ำ ซึ่งเราเรียกว่า วัฏจักรของน้ำ

          อากาศ
          อากาศ คือ บรรยากาศที่ห่อหุ้มโลกโดยรอบ ประกอบด้วยแก๊สไนโตรเจน ออกซิเจน คาร์บอนไดออกไซด์ ไอน้ำ ฝุ่นละออง และแก๊สอื่น ๆ อีกในปริมาณเล็กน้อย

          ป่าไม้
          ป่าไม้ หมายถึง พื้นที่ที่มีต้นไม้หลากหลายชนิด ขึ้นอยู่รวมกันจำนวนมาก มีทั้งต้นไม้ขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ ป่าไม้เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีความสำคัญเช่นเดียวกับดินและน้ำ

          สัตว์ป่า
          สัตว์ป่า หมายถึง สัตว์ทุกชนิดที่อาศัยอยู่ในป่าตามธรรมชาติ สัตว์ป่าจะอาศัยอยู่ในป่าลึก เพราะมีอาหารที่สมบูรณ์ และสามารถหลบภัยอันตรายได้อีกด้วย

          แร่ธาตุ
          แร่ธาตุ เป็นทรัพยากรที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ประเภทใช้แล้วหมดไป แร่ธาตุเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งในการดำรงชีวิตของมนุษย์

คุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติ
1.      ดิน
ดินมีความสำคัญยิ่งต่อสิ่งมีชีวิต มนุษย์ใช้ดินเป็นแหล่งทำการเกษตร และเลี้ยงสัตว์ และเป็นที่อยู่อาศัย เป็นแหล่งผลิตอาหาร ยารักษาโรค และเครื่องนุ่งห่ม

2.      น้ำ
น้ำมีประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ สัตว์ และพืช ดังนี้
1)      คนและสัตว์ใช้ดื่มกิน
2)     ใช้ชำระสิ่งต่าง ๆ ใช้อาบน้ำ เพื่อชำระล้างสิ่งสกปรก
3)     ใช้ในการเกษตร การเพาะปลูก และเลี้ยงสัตว์
4)      เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำ และพืช
5)     ใช้ประโยชน์ในการอุตสาหกรรมทุกชนิด
6)     ใช้เป็นเส้นทางคมนาคมในการติดต่อสื่อสาร และติดต่อทางการค้า
7)      ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า จากพลังน้ำที่กักเก็บไว้ในเขื่อนมาผลิตกระแสฟ้า
8)     เป็นแหล่งของทรัพยากรที่สำคัญ เช่น แก๊สธรรมชาติ และเกลือ เป็นต้น
9)     เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ


3.     อากาศ
อากาศ เป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต พืช สัตว์ และมนุษย์ต่างใช้แก๊สออกซิเจนในการหายใจ ถ้าไม่มีอากาศ สิ่งมีชีวิตจะตายหมด นอกจากนั้น พืชใช้แก๊สคาร์บอรไดออกไซด์ในการสร้างอาหารโดยการสังเคราะห์ด้วยแสง

4.      ป่าไม้
ป่าไม้มีประโยชน์มากต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ อังนี้
1)      เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า
2)     นำมาสร้างอาคารบ้านเรือน ใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ กระดาษ ฟืน ส่วนต่าง ๆ ของพืชจากป่าใช้เป็นอาหาร ใช้ทำเครื่องนุ่งห่ม และใช้เป็นยารักษาโรค
3)     ให้แก๊สออกซิเจนแก่มนุษย์
4)      เป็นแหล่งกำเนิดของต้นน้ำ
5)     ให้ความชุ่มชื้น และควบคุมสภาพอากาศ
6)     ช่วยชะลอความรุนแรงของน้ำป่าที่ไหลหลาก ไม่ให้เข้าท่วมบ้านเรือนอย่างรวดเร็ว
7)      ช่วยป้องกันการกัดเซาะ และพัดพาของหน้าดิน และช่วยลดแรงปะทะจากน้ำฝน และลมพายุ
8)     ใช้เป็นแหล่งพักผ่อน และศึกษาหาความรู้

5.     สัตว์ป่า
มนุษย์นำสัตว์ป่าไปใช้ประโยชน์หลายอย่าง เช่น ใช้ช้างลากซุง ม้าลากรถ เป็นต้น นอกจากนี้สัตว์ป่ายังทำให้ธรรมชาติสมบูรณ์อีกด้วย

6.     แร่ธาตุ
แร่ธาตุ เป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งในการดำรงชีวิตของมนุษย์ เพราะแร่โลหะ และแร่อโลหะ นำไปผลิตเป็นสารเพื่อประโยชน์ทางอุตสาหกรรม และวัตถุต่าง ๆ ที่ใช้ในการดำรงชีวิต เช่น แร่อลูมิเนียม ใช้ทำเครื่องใช้ต่าง ๆ เช่น เครื่องใช้ในครัว เป็นต้น




7.     แร่เชื้อเพลิง
แร่เชื้อเพลิง เป็นแร่ที่นำมาใช้เป็นเชื้อเพลิง ผลิตพลังงานความร้อนและพลังงานแสงสว่าง นอกจากนั้นใช้เป็นวัตถุดิบในโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น อุตสาหกรรมเคมี พลาสติก เป็นต้น

8.     แร่รัตนชาติ

แร่รัตนชาติ ใช้ทำเครื่องประดับ เป็นสินค้าอัญมณีที่มีราคาแพง เช่น เพชร ทับทิม ไพลิน เป็นต้น





เตรียมตัวสอบ O-Net - แนวข้อสอบ O-Net - ประถมต้น (แนวข้อสอบ O-Net ป.3) - เนื้อหาวิชา วิทยาศาสตร์ - ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม

เตรียมตัวสอบ O-Net - แนวข้อสอบ O-Net  - ประถมต้น (แนวข้อสอบ O-Net ป.3) - เนื้อหาวิชา วิทยาศาสตร์ - ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม


Download - เนื้อหา


ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม

          สิ่งแวดล้อม หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวเรา มีทั้งสิ่งมีชีวิต และสิ่งไม่มีชีวิต บางชนิดเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ บางชนิดมนุษย์สร้างขึ้น เช่น ดิน หิน น้ำ ตึก บ้าน รถ เป็นต้น
1.      ความสัมพันธ์ระหว่างพืชกับสิ่งแวดล้อม
1)      ดวงอาทิตย์
พืชที่ใช้แสงสร้างอาหาร สร้างความอบอุ่นให้พอเพียงที่พืชจะดำรงชีวิตได้
2)     อากาศ
พืชใช้แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศสร้างอาหาร ใช้แก๊สออกซิเจนในการหายใจ
3)     น้ำ
พืช ต้องการนำในการสร้างอาหาร พืชบางชนิด เช่น แมลง ช่วยพืชในการผสมพันธุ์
4)     สัตว์
สัตว์ใช้พืชเป็นแหล่งที่อยู่อาศัย สัตว์บางชนิด เช่น แมลง ช่วยพืชในการผสมพันธุ์
5)     พืช
พืชมีความสัมพันธ์ระหว่างพืชด้วยกันเอง เช่น ต้นไม้เล็ก ๆ ที่ชอบร่มเงา จะขึ้นอยู่ตามใต้ต้นไม้ใหญ่ เป็นต้น

2.      ความสัมพันธ์ระหว่างสัตว์กับสิ่งแวดล้อม
1)      ดวงอาทิตย์
สัตว์ได้รับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ช่วยให้มองเห็นสิ่งต่าง ๆ และสัตว์ยังได้รับความอบอุ่นจากแสงอาทิตย์อีกด้วย
2)     อากาศ
สัตว์ใช้อากาศในการหายใจ

3)     ดิน
สัตว์ใช้พื้นดินเป็นที่อยู่อาศัย สัตว์บางชนิดขุดรูอยู่ในดิน เช่น หนู มด เป็นต้น สัตว์บางชนิดกินดินเป็นอาหาร
4)     น้ำ
สัตว์ต้องกินน้ำชดเชยน้ำที่เสียไป สัตว์บางชนิดอยู่ในน้ำ เช่น ปลา
5)     สัตว์
สัตว์ที่อาศัยอยู่ในสิ่งแวดล้อมเดียวกันจะมีความสัมพันธ์กัน เช่น สัตว์บางชนิดกันสัตว์เป็นอาหาร
6)     พืช
สัตว์บางชนิดกินพืชเป็นอาหาร สัตว์บางชนิดอาศัยบนต้นไม้ เช่น นก
7)     มนุษย์
สัตว์บางชนิดที่เป็นสัตว์เลี้ยง เช่น สุนัข ต้องอาศัยมนุษย์ให้อาหารและดูแลด้วย

3.     ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม
1)      ดวงอาทิตย์
ให้พลังงานความร้อน และแสงสว่างแก่โลก ทำให้เกิดกลางวันกลางคืน มนุษย์ได้รับความอบอุ่นและนำพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ประโยชน์
2)     อากาศ
มนุษย์ต้องหายใจเอาอากาศดีเข้าสู่ร่างกาย
3)     น้ำ
มนุษย์ดื่มน้ำดับกระหาย ใช้ซักล้าง อาบ และใช้ในการคมนาคม
4)     ดิน
มนุษย์ใช้ดินปลูกพืชผักต่าง ๆ ปั้นภาชนะ ถ้วยชาม นอกจากนั้นมนุษย์ยังปลูกบ้านบนพื้นดินด้วย
5)     สัตว์
มนุษย์กินสัตว์เป็นอาหาร ช่วยผ่อนแรง เช่น ใช้ควายไถนา เลี้ยงเพื่อความเพลิดเพลิน และใช้ขนสัตว์ทำเครื่องนุ่งห่ม

6)     พืช
มนุษย์กินพืชผักผลไม้เป็นอาหาร ได้รับความร่มเย็นจากต้น ใช้แก๊สออกซิเจนที่พืชเป็นผู้ผลิตในการหายใจ ใช้ต้นไม้สร้างบ้าน ทำเครื่องใช้ต่าง ๆ นอกจากนี้ ต้นไม้ยังทำให้ฝนตกตามฤดูกาล
7)     มนุษย์
มนุษย์ กับมนุษย์ ก็มีความสัมพันธ์กัน โดยมนุษย์ต้องอยู่รวมกันเป็นครอบครัว หมู่บ้าน และมีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ร่วมกัน
-        แบบได้ประโยชน์ร่วมกัน เช่น ดอกไม้กับแมลง นกเอี้ยงกับควาย มดดำกับเพลี้ย เป็นต้น
-        แบบได้ประโยชน์ฝ่ายเดียว (ปรสิต) และบางครั้งอาจทำอันตรายสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ เช่น กาฝาก กับต้นไม้ เห็บกับสุนัข พยาธิ กับคน เป็นต้น
-        แบบอิงอาศัย เป็นความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิต 2 ชนิด ที่สิ่งมีชีวิตชนิดใดชนิดหนึ่งได้ประโยชน์ฝ่ายเดียว ส่วนสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่งไม่ได้ และไม่เสียประโยชน์ เช่น กล้วยไม้ที่เกาะอยู่บนต้นไม้ เฟิร์นกับต้นไม้ใหญ่ เหาฉลาม กับปลาฉลาม เป็นต้น
-        แบบพึ่งพาอาศัยกัน เป็นความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิต 2 ชนิด ที่ต้องอยู่ร่วมกันตลอดเวลา และไม่สามารถแยกไปดำรงชีวิตด้วยตัวเอง เช่น สาหร่ายสีเขียวกับรา เมื่อมาดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันเรียกว่า ไลเคน โดยสาหร่ายสีเขียว จะให้อาหารแก่รา ส่วนรา ก็จะให้ความชื้นและแร่ธาตุแก่สาหร่ายสีเขียว หากแยกกันอยู่ สิ่งมีชีวิตทั้งสองจะดำรงชีวิตอยู่ไม่ได้




















เตรียมตัวสอบ O-Net - แนวข้อสอบ O-Net - ประถมต้น (แนวข้อสอบ O-Net ป.3) - เนื้อหาวิชา วิทยาศาสตร์ - ลักษณะทางพันธุกรรม

เตรียมตัวสอบ O-Net - แนวข้อสอบ O-Net  - ประถมต้น (แนวข้อสอบ O-Net ป.3) - เนื้อหาวิชา วิทยาศาสตร์ - ลักษณะทางพันธุกรรม

Download - เนื้อหา




ลักษณะทางพันธุกรรม



การถ่ายทอดลักษณะของสิ่งมีชีวิต
          ลักษณะทางพันธุกรรม หรือลักษณะเฉพาะของสิ่งมีชีวิตนั้น ๆ สามารถถ่ายทอดไปสู่ลูก สู่หลานในรุ่นต่อ ๆ ไปได้ ลักษณะเหล่านั้น ระหว่างบุคคลในครอบครัวเดียวกัน เช่น สีผม สีตา ความสูง สีผิว ห่อลิ้นได้ ห่อลิ้นไม่ได้ ผมเหยียด ผมหยิก เป็นต้น โดยลูกจะได้รับการถ่ายทอดลักษณะจากพ่อและแม่ พ่อได้รับการถ่ายทอดลักษณะจาก ปู่ ย่า แม่จะได้รับการถ่ายทอดลักษณะจากตา และยาย การถ่ายทอดลักษณะเช่นนี้ เป็นการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ บางลักษณะของลูก อาจเหมือนหรือต่างจาก พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ลักษณะที่แตกต่างออกไปนี้ เป็นลักษณะที่แปรผัน และสามารถถ่ายทอดสู่รุ่นลูกรุ่นหลานต่อไป
          การถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ ไม่ได้มีแต่ในมนุษย์เท่านั้น พืชและสัตว์ก็มีการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์เช่นกัน

การดำรงพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต
          ปัจจัยที่มีผลต่อการดำรงพันธุ์ของสัตว์ ได้แก่
1.      วัฎจักรชีวิต
สิ่งมีชีวิตใดที่มีวัฎจักรชีวิตสั้น จะทำให้มีจำนวนประชากรของสิ่งมีชีวิตชนิดนั้นเพิ่มขึ้นในระยะเวลาอันรวดเร็ว ในทางกลับกัน สิ่งมีชีวิตชนิดใดที่มีวัฎจักรชีวิตที่ยาวนาน จะให้กำเนิดลูกหลานช้า ทำให้มีจำนวนประชากรของสิ่งมีชีวิตชนิดนั้นน้อย และเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ได้ เช่น เต่ากระ เป็นต้น
2.      ปริมาณการให้กำเนิดลูก
สิ่งมีชีวิตที่ให้กำเนิดลูกคราวละมาก ๆ โอกาสที่ลูกจะรอดชีวิตเจริญเติบโตเป็นแม่พันฑุ์ให้กำเนิดลูกรุ่นต่อไปก็มีมาก ช่วยให้สัตว์นั้นสามารถดำรงพันธุ์อยู่ได้
3.     พฤติกรรมการกินอาหาร
สัตว์ที่กินอาหารได้หลายอย่าง สามารถหาอาหารมากินได้ง่าย จึงเจริญเติบโตเต็มที่ และกำเนิดลูกหลาน จำนวนประชากรเพิ่มมากขึ้น สัตว์เหล่านี้จึงดำรงเผ่าพันธุ์สืบต่อกันไป เช่น ลิง
4.     ลักษณะโครงสร้างของสัตว์
ลักษณะโครงสร้างมีผลอย่างมากต่อการอยู่รอดของสัตว์ เพราะโครงสร้างบางอย่างช่วยให้หนีรอดจากศัตรู โครงสร้างบางอย่างมีไว้ล่าเหยื่อ เช่น ม้ามีขาที่แข็งแรง ช่วยให้วิ่งหนีศัตรูได้เร็ว เสือมีเขี้ยวยาว และมีกรงเล็บที่แข็งแรงแหลมคมไว้ล่าเหยื่อ
สำหรับพืชนั้น การปรับตัวให้เข้าหรือเหมาะแก่สภาพแวดล้อมที่อาศัยอยู่ก็จะสามารถดำรงพันธุ์ต่อไปได้ในธรรมชาติ เช่น พืช จะมีการผลัดใบในหน้าแล้ว เพื่อลดการคายน้ำ เพราะถ้าคายน้ำมาก พืชก็จะตาย
กระบองเพชรที่อยู่ในทะเลทรายก็ต้องมีใบเล็ก (หนาม) เพื่อลดการคายน้ำ จึงทำให้กระบองเพชรสามารถดำรงพันธุ์อยู่กลางทะเลทรายที่แห้งแล้งได้

การสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต
          การปรับตัวของสิ่งมีชีวิตให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม เป็นการปรับตัวเพื่อให้อยู่รอด และไม่ให้สูญพันธุ์ แต่ถ้าสิ่งแวดล้อมมีการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงมากกว่าที่สิ่งมีชีวิตจะปรับได้ เช่น เกิดจากภัยธรรมชาติ ได้แก่ การเกิดแผ่นดินไหว น้ำท่วม ไฟป่า โรคระบาด ภูเขาไฟปะทุ และความแห้ง แล้ง สิ่งมีชีวิตก็จะอยู่ไม่ได้ สิ่งมีชีวิตหลายชนิดที่ต้องสูญพันธุ์ไปเนื่องจากไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้

          อีกสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้สัตว์ต่าง ๆ สูญพันธุ์ เกิดจากการกระทำของมนุษย์ ได้แก่ การล่าสัตว์ เพื่อความสนุกสนาน การล่าสัตว์เพื่อนำชิ้นส่วนมาประดับตกแต่งบ้าน การจับสัตว์น้ำในฤดูวางไข่ หรือในฤดูผสมพันธุ์ และการบุกรุกทำลายป่าของมนุษย์ ทำให้สิ่งมีชีวิตตาย และสูญพันธุ์ไปจากโลก







Download - เนื้อหา











เตรียมตัวสอบ O-Net - แนวข้อสอบ O-Net - ประถมต้น (แนวข้อสอบ O-Net ป.3) - แนวข้อสอบวิชา คณิตศาสตร์ - ชุดที่ 4

เตรียมตัวสอบ O-Net - แนวข้อสอบ O-Net - ประถมต้น (แนวข้อสอบ O-Net ป.3) - แนวข้อสอบวิชา คณิตศาสตร์ - ชุดที่ 4
















เตรียมตัวสอบ O-Net - แนวข้อสอบ O-Net - ประถมต้น (แนวข้อสอบ O-Net ป.3) - แนวข้อสอบวิชา คณิตศาสตร์ - ชุดที่ 3

เตรียมตัวสอบ O-Net - แนวข้อสอบ O-Net - ประถมต้น (แนวข้อสอบ O-Net ป.3) - แนวข้อสอบวิชา คณิตศาสตร์ - ชุดที่ 3
















Blog เพื่อนการศึกษา

***Blog เพื่อนการศึกษา*** ***สรุปเนื้อหา*** **สรุปเนื้อหา ม.456 สรุปเนื้อหา ชีววิทยา ม.456 สรุปเนื้อหาเข้า ป.1 - ม.6 สรุปเนื้อหา - วิชาสังคม...