วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2557

เตรียมตัวสอบ O-Net - แนวข้อสอบ O-Net - ประถมต้น (แนวข้อสอบ O-Net ป.3) - เนื้อหาวิชา สังคมศึกษา - สาระที่ 4 ประวัติศาสตร์

เตรียมตัวสอบ O-Net - แนวข้อสอบ O-Net - ประถมต้น (แนวข้อสอบ O-Net ป.3) - เนื้อหาวิชา สังคมศึกษา - สาระที่ 4 ประวัติศาสตร์



Download - เนื้อหา



สาระที่ 4 ประวัติศาสตร์



เวลา
          การนับเวลาตามแบบสุริยคติ
          การนับเวลาตาแบบสุริยคติ หมายถึง การใช้ดวงอาทิตย์เป็นเกณฑ์ในการนับเวลา ซึ่งในปัจจุบัน ประเทศส่วนใหญ่ใช้การนับเวลาตามแบบสุริยคติเป็นมาตรฐานในการนับเวลา

          การนับเวลาตามแบบสุริยคติ มีวิธีการดังต่อไปนี้
-        การนับวัน
การนับวันตามแบบสุริยคติ เป็น 1 วัน แบ่งออกเป็น 24 ชั่วโมง ตามเวลาที่โลกหมุนรอบตัวเอง 1 รอบ ซึ่งแบ่งเป็นกลางวันและกลางคืน เริ่มตั้งแต่เวลา 01.00 นาฬิกา จนถึง 24.00 นาฬิกา

-        การนับสัปดาห์
1 สัปดาห์ มีทั้งหมด 7 วัน ได้แก่ วันอาทิตย์ วันจันทร์ วันอังคาร วันพุธ วันพฤหัสบดี วันศุกร์ วันเสาร์

-        การนับเดือน
การนับเวลาตามแบบสุริยคติภายใน 1 ปี มีทั้งหมด 365 - 366 วัน และแบ่งเดือนออกเป็น 12 เดือน ตามระยะเวลาที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ เดือนตามแบบสุริยคติ มีดังนี้
o  เดือนมกราคม      มี 31 วัน
o  เดือนกุมภาพันธ์   มี 28 หรือ 29 วัน ในปีที่มี 29 วัน เรียกว่า ปีอธิกสุรทิน
o  เดือนมีนาคา        มี 31 วัน
o  เดือนเมษายน       มี 30 วัน
o  เดือนพฤษภาคม   มี 31 วัน
o  เดือนมิถุนายน      มี 30 วัน
o  เดือนกรกฎาคม    มี 31 วัน
o  เดือนสิงหาคม      มี 31 วัน
o  เดือนกันยายน      มี 30 วัน
o  เดือนตุลาคม       มี 31 วัน
o  เดือนพฤศจิกายน  มี 30 วัน
o  เดือนธันวาคม      มี 31 วัน

การนับเวลาตามแบบจันทรคติ
การนับเวลาตามแบบจันทรคติ หมายถึง การใช้ดวงจันทร์เป็นเกณฑ์ในการนับเวลาซึ่งเป็นการนับเวลาตามแบบไทยโบราณ

          การนับวัน
          การนับวันภายใน 1 เดือน แบ่งเป็น ข้างขึ้น แบบจันทรคติ ใช้เกณฑ์ระยะเวลาที่ดวงจันทร์ โคจรรอบโลกประมาณ 29.5 วัน ดังนั้น 1 เดือน จึงมีทั้งหมด 30 วัน เท่ากับ แบบสุริยคติ แต่แบบจันทรคติแบ่งเป็นข้างขึ้นและข้างแรม ข้างละ 15 วัน ซึ่งสังเกตได้จากลักษณะของดวงจันทร์ที่แตกต่างกันไปในแต่ละวัน โดยเริ่มจากวันดวงจันทร์เต็มดวง เรียกว่า วันเพ็ญ” แล้วค่อย ๆ หายไปทีละนิดจนกระทั่งมิดทั้งดวง จากนั้นก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นมาทีละนิด จนเต็มดวงอีกครั้ง เริ่มตั้งแต่วันขึ้น 1 ค่ำ ไปเรื่อย ๆ จนถึง 15 ค่ำ และข้างแรมเริ่มตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เรื่อยไปจนถึง 15 ค่ำในบางเดือนอาจมี 29 หรือ 30 วัน ซึ่งวันแรมจะหายไป 1 วัน เหลือเพียง 14 ค่ำ

          การนับเดือน
          ใน 1 ปี แบ่งออกเป็น 12 เดือน มีวันทั้งหมด 354 วัน เริ่มเดือนที่ 1 หรือเดือนอ้าย ประมาณกลางเดือนธันวาคา และในทุก ๆ 4 ปี จะมีเดือนเพิ่มขึ้นเป็น 13 เดือน มีเดือน 8 สองหน เรียกว่า ปีอธิกมาส” การนับแบบจันทรคติแบ่งเป็น 12 เดือน ดังนี้
o  เดือนที่ 1   เรียกว่า                   เดือนอ้าย
o  เดือนที่ 2   เรียกว่า                   เดือนยี่
o  เดือนที่ 3   เรียกว่า          เดือน 3
o  เดือนที่ 4   เรียกว่า          เดือน 4
o  เดือนที่ 5   เรียกว่า          เดือน 5
o  เดือนที่ 6   เรียนว่า          เดือน 6
o  เดือนที่ 7   เรียกว่า          เดือน 7
o  เดือนที่ 8   เรียกว่า          เดือน 8
o  เดือนที่ 9   เรียกว่า          เดือน 9
o  เดือนที่ 10           เรียกว่า                    เดือน 10
o  เดือนที่ 11 เรียกว่า                    เดือน 11
o  เดือนที่ 12           เรียกว่า          เดือน 12

การนับแบบปีนักษัตร
เป็นการนับปีแบบไทยโบราณ อันมีสัตว์ประจำปีเกิด มีทั้งหมด 12 ปี อันถือเป็น 1 รอบ ดังนี้
o  ปีชวด       สัตว์ประจำปีเกิด คือ   หนู
o  ปีฉลู        สัตว์ประจำปีเกิด คือ   วัว
o  ปีขาล       สัตว์ประจำปีเกิด คือ   เสือ
o  ปีเถาะ      สัตว์ประจำปีเกิด คือ   กระต่าย
o  ปีมะโรง    สัตว์ประจำปีเกิด คือ   งูใหญ่
o  ปีมะเส็ง    สัตว์ประจำปีเกิด คือ   งูเล็ก
o  มีมะเมีย    สัตว์ประจำปีเกิด คือ   ม้า
o  ปีมะแม     สัตว์ประจำปีเกิด คือ   แพะ
o  มีวอก       สัตว์ประจำปีเกิด คือ   ลิง
o  ปีระกา      สัตว์ประจำปีเกิด คือ   ไก่
o  ปีจอ         สัตว์ประจำปีเกิด คือ   หมา หรือสุนัข
o  ปีกุน        สัตว์ประจำปีเกิด คือ   สุกร หรือ หมู

การเมืองการปกครองสมัยรัตนโกสินทร์
1)      สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
เริ่มตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเป็นราชธานี ในปี พ.ศ. 2325 จนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 โดยการปกครองในสมัยนี้ยังคงใช้การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งพระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจสูงสุดในการปกครองราชอาณาจักรแต่เพียงผู้เดียว เหมือนกับสมัยกรุงศรีอยุธยา

2)     สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนกลาง
เริ่มตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 จนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เป็นยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลงในทุกด้านโดยเฉพาะการปกครองที่มีปรับปรุงเปลี่ยนให้มีความเหมาะสมกับยุคสมัยมากขึ้น แต่ยังคงใช้การปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์

3)     สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนปลาย

เริ่มตั้งแต่หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 โดยคณะราษฎร ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จนถึงปัจจุบัน ในสมัยนี้เป็นช่วงเวลาที่การปกครองของไทยมีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด โดยเปลี่ยนจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศมากขึ้น


Download - เนื้อหา






เตรียมตัวสอบ O-Net - แนวข้อสอบ O-Net - ประถมต้น (แนวข้อสอบ O-Net ป.3) - เนื้อหาวิชา สังคมศึกษา - สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์

เตรียมตัวสอบ O-Net - แนวข้อสอบ O-Net - ประถมต้น (แนวข้อสอบ O-Net ป.3) - เนื้อหาวิชา สังคมศึกษา - สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์

Download - เนื้อหา



สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์



เศรษฐศาสตร์เบื้องต้น
          เศรษฐศาสตร์ หมายถึง วิชาที่ว่าด้วยการผลิต การจำหน่ายจ่ายแจก และการบริโภคใช้สอยสิ่งต่าง ๆ เศรษฐศาสตร์ เป็นวิชาที่มีความสำคัญอย่างมาก เพราะเกี่ยวข้องโดยตรงกับการดำรงชีวิตประจำวันของทุกคน

ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม
          ระบบเศรษฐกิจ หมายถึง รูปแบบและวิธีการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ คือ การผลิต การบริหาร และการบริโภค

          ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม หมายถึง การดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ให้สิทธิเสรีภาพในการผลิต การบริหาร และการบริโภคสินค้า และบริการได้ตามความต้องการ

          ข้อดีของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม
1)      มีสินค้าและบริการในตลาดให้เลือกจำนวนมาก
2)     ผู้บริโภคสามารถเลือกสินค้า อุปโภค และบริโภคได้ตรงตามความต้องการของตน
3)     ผู้ผลิตที่ต้องการลดต้นทุนการผลิต ทำให้มีการนำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้น้อยลง
4)      สินค้ามีคุณภาพดีขึ้น เพราะผู้ผลิตต้องการแข่งขันกันจำหน่ายสินค้า
5)     มีสินค้าในตลาดจำนวนมาก เป็นประโยชน์ของผู้บริโภคที่สามารถเลือซื้อสินค้าในการบริโภคได้

ข้อเสียของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม
1)      เอกชนมีการมุ่งแสวงหาผลกำไรกันมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อผู้บริโภค และระบบเศรษฐกิจ
2)     การแข่งขันกันสูงในทางการตลาด ทำให้ผู้ที่มีเงินทุนมากกว่าได้เปรียบผู้ที่มีเงินทุนน้อยกว่า
3)     อาจทำให้เกิดการผูกขาดทางการตลาดได้ ถ้าผู้ผลิตสินค้าประเภทเดียวกันรวมตัวกัน และอาจทำให้สินค้ามาราคาสูงขึ้นได้
4)      ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างรายได้ของประชาชนภายในประเทศสูง เนื่องจากมีการแข่งขันกันสูง
5)     อาจเกิดภาวะขาดแคลนสินค้าได้ เช่น น้ำมันแพง เกิดจลาจล

เศรษฐกิจพอเพียง
          เศรษฐกิจพอเพียง เป็นแนวทางพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชที่ทรงพระราชทาน เพื่อเป็นแนวทางให้แก่ประชาชนได้รู้จักดำเนินชีวิตอย่างพอเพียง รู้จักใช้จ่าย มีหลักการที่สำคัญ ดังนี้
1)      ใช้สิ่งที่มีอยู่อย่างจำกัด ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด
2)     อยู่อย่างประหยัด อย่างพอดี
3)     ลดความต้องการบริโภค อุปโภคในสิ่งที่ไม่จำเป็น โดยเฉพาะสินค้าจากต่างประเทศ
4)      มีความอดทนในการประกอบอาชีพของตนให้มากขึ้น
5)     ขยันหมั่นเพียรในการประกอบอาชีพของตน
6)     ช่วยเหลือกันภายในชุมชน
7)      นำทรัพยากรท้องถิ่นมาแปรรูปให้เกิดประโยชน์มากขึ้น
8)     ผลิตอาหารเองภายในครัวเรือน เช่น ปลูกข้าว เลี้ยงปลา ปลูกผัก เลี้ยงไก่ ปลูกผลไม้

ธนาคาร
          ธนาคารเป็นสถาบันการเงินที่ทำหน้าที่รับฝากเงินจากประชาชนทั่วไป ห้างร้าน หรือบริษัทเอกชน โดยให้ค่าตอบแทนเป็นดอกเบี้ยเงินฝาก นอกจากนี้ยังให้บริการกู้ยืมเงินและเรื่อง อื่น ๆ ที่เกี่ยวกับเงินตรา

          ธนาคารกลาง
          ธนาคารกลาง คือ ธนาคารซึ่งมีหน้าที่ในการดูแลเงินตราให้แก่รัฐบาล ธนาคารกลางของประเทศไทย คือ ธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งจัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2485 หน้าที่ของธนาคารกลาง มีดังนี้
1)      ควบคุม ดูแล และกำกับการทำงานของสถาบันการเงินทุกแห่งในประเทศไทย ทั้งของรัฐและเอกชน
2)     ดูแลด้านการเงินให้แก่รัฐบาล เช่น ผลิตเงินเหรียญกษาปณ์ พิมพ์ธนบัตร กำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ เป็นต้น
3)     กำหนดนโยบายทางการเงินให้แก่รัฐบาล
4)      กำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจให้แก่รัฐบาล
5)     เป็นตัวแทนรัฐในการจ่ายเงินให้แก่องค์กรของรัฐและรัฐวิสาหกิจ
6)     รับฝากเงินไม่มีดอกเบี้ยองค์กรของรัฐบาล และรัฐวิสาหกิจ
7)      เป็นตัวแทนในการกู้เงินและชำระหนี้ให้แก่รัฐบาล
8)     ควบคุมและดูแลระบบการเงินของประเทศ

ธนาคารพาณิชย์
ธนาคารพาณิชย์ คือ สถาบันการเงินของเอกชนที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเงิน หน้าที่ของธนาคารพาณิชย์ มีดังนี้
1)      รับฝากเงินออมของประชาชน ห้างร้าน บริษัท และบริษัทมหาชน โดยจ่ายค่าตอบแทนเป็นดอกเบี้ย
2)     ให้บริการถอนเงินที่ลูกค้าของธนาคารนำมาฝาก
3)     ให้บริการกู้ยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ย เพื่อนำไปจ่ายเป็นค่าตอบแทนแก่ผู้ฝากเงิน
4)      รับแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
5)     ให้บริการเกี่ยวกับการเงินในด้านต่าง ๆ เช่น จ่ายค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์ เป็นต้น


ธนาคารรูปแบบพิเศษ
ธนาคารรูปแบบพิเศษ คือ ธนาคารที่จัดตั้งขึ้นเพื่อจุดประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะในประเทศไทย มีธนาคารรูปแบบพิเศษ 3 ธนาคาร ได้แก่
1)      ธนาคารออมสิน จัดตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนประหยัด และรู้จักการออม โดยการนำเงินมาฝากไว้กับธนาคาร ซึ่งปลอดภัย และได้ประโยชน์ตอบแทน
2)     ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำของเกษตรซึ่งเป็นอาชีพของคนส่วนใหญ่ในประเทศไทย รวมถึงให้ความช่วยเหลือเกษตรกรในด้านต่าง ๆ เช่น ให้ความรู้ด้านการเกษตรหาแหล่งจำหน่ายสินค้า เป็นต้น
3)     ธนาคารอาคารสงเคราะห์ จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้ผู้ที่ต้องการสร้างบ้าน หรือซื้อบ้าน

ภาษี
          ภาษี หมายถึง เงินที่รัฐเรียกเก็บจากประชาชนที่มีรายได้ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในด้าน ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับส่วนรวม

          ประเภทของภาษี
1)      ภาษีทางตรง เป็นเงินที่รัฐเรียกเก็บโดยตรงจากบุคคลที่มีรายได้ บริษัท ห้างร้าน หรือบริษัทมหาชน เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีที่ดิน ภาษีประกันสังคม ภาษีมรดก เป็นต้น

2)     ภาษีทางอ้อม คือ เป็นเงินที่รัฐเรียกเก็บจากผู้ผลิต ห้างร้าน บริษัท หรือบริษัทจำกัดมหาชน แต่ผู้ผลิต หรือบริษัท ห้างร้าน หรือบริษัทจำกัดมหาชน สามารถผลักภาระไปให้ผู้อื่นได้ หรือผู้ขายสินค้าผลักภาระใหม่แก่ผู้ซื้อเป็นผู้เสีย เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสรรพาสามิต ภาษีศุลกากร เป็นต้น



เตรียมตัวสอบ O-Net - แนวข้อสอบ O-Net - ประถมต้น (แนวข้อสอบ O-Net ป.3) - เนื้อหาวิชา สังคมศึกษา - สาระที่ 2 หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรม และการดำเนินชีวิตในสังคม

เตรียมตัวสอบ O-Net - แนวข้อสอบ O-Net - ประถมต้น (แนวข้อสอบ O-Net ป.3) - เนื้อหาวิชา สังคมศึกษา - สาระที่ 2 หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรม และการดำเนินชีวิตในสังคม




Download - เนื้อหา



สาระที่ 2 หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรม และการดำเนินชีวิตในสังคม



การเป็นพลเมืองดีตามวิถีประชาธิปไตย
          พลเมือง หมายถึง ประชาชนโดยทั่วไป ดังนั้นพลเมืองดีจึงหมายถึง ประชาชนที่ประพฤติดี ไม่ละเมิดต่อกฎหมายของบ้านเมือง และทำตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม
          การเป็นพลเมืองดีตามวิถีประชาธิปไตย หมายถึง การปฏิบัติตนตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด และมีส่วนร่วมในการปกครองระบอบประชาธิปไตยของประเทศ

          การปกครองในระบอบประชาธิปไตย
          การปกครองในระบอบประชาธิปไตย หมายถึง การปกครองที่ประชาชนเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในการปกครอง

หลักปฏิบัติของพลเมืองดีตามวิถีประชาธิปไตย
1)      การให้ความเคารพซึ่งกันและกัน
ตามหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้น ได้ให้สิทธิเสรีภาพแก่บุคคลที่จะกระทำการใด ๆ ได้อย่างเสรี แต่ต้องไม่ละเมิดต่อกฎหมาย อันหมายรวมถึง การให้ความเคารพซึ่งกันและกัน ไม่กระทำสิ่งใดที่ละเมิดต่อสิทธิของผู้อื่น

2)     การร่วมมือกัน
การที่ประเทศชาติจะพัฒนาไปสู่ความเจริญได้นั้น ต้องเกิดจากความร่วมมือกันของคนในประเทศ สำหรับวิถีประชาธิปไตยนั้น การร่วมมือกันถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างมาก

3)     ความมีระเบียบวินัย
การที่สังคมจะมีความสงบสุขได้นั้น ทุกคนในสังคมต้องปฏิบัติตามระเบียบวินัย กฎหมาย หรือกฎเกณฑ์ที่สังคมได้กำหนดขึ้น


4)     ความสามัคคี
ความสามัคคีของคนในชาติ ย่อมทำให้ประเทศชาติมีความมั่นคงเข้มแข็ง สามารถต่อสู้กับบุคคลภายนอกได้

5)     ความรับผิดชอบ
ทุกคนในสังคมล้วนมีหน้าที่ต้องปฏิบัติทั้งต่อตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ ดังนั้น เราควรมีความรับผิดชอบปฏิบัติหน้าที่ตามได้รับมอบหมายอย่างเต็มความสามารถ

6)     การใช้สิทธิเลือกตั้ง
การไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ถือว่าเป็นหน้าที่ที่สำคัญมากของพลเมืองในวิถีประชาธิปไตย เพราะการเลือกตั้งเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการคัดเลือกบุคคลเข้าไปบริหารประเทศ

ชุมชนของเรา
          ชุมชน หมายถึง สถานที่ที่มีกลุ่มคนอาศัยอยู่ร่วมกันจำนวนมาก มีลักษณะการดำเนินชีวิตที่คล้ายคลึงกัน มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกันในเรื่องต่าง ๆ เช่น หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด
         
          สิทธิเสรีภาพ บทบาท และหน้าที่ในชุมชน
          สิทธิ หมายถึง อำนาจอันชอบธรรมของบุคคลที่ได้รับการคุ้มครองโดยกฎหมายที่ตราไว้ในรัฐธรรมนูญ
          เสรีภาพ หมายถึง สิ่งที่บุคคลสามารถกระทำได้ตามความพอใจของตน โดยไม่ขัดแย้งหรือละเมิดต่อกฎหมายบ้านเมือง และสิทธิของบุคคลอื่น
          บทบาท หมายถึง การทำหน้าที่ตามสถานภาพของตน
          หน้าที่ หมายถึง สิ่งที่ต้องกระทำ ในเมื่อรัฐธรรมนูญได้กำหนด สิทธิ และเสรีภาพให้แก่ประชาชนทุกคนแล้ว รัฐธรรมนูญก็ได้กำหนดหน้าที่เพื่อให้บุคคลปฏิบัติต่อประเทศชาติด้วย และถือว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนควรปฏิบัติในฐานะที่เกิดมาเป็นคนไทย



ภูมิปัญญา และวัฒนธรรมไทย
          ภูมิปัญญา
          ภูมิปัญญา หมายถึง พื้นความรู้ความสามารถที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ของบุคคล และนำความรู้นั้นมาปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อม และสร้างวัฒนธรรมขึ้น เพื่อใช้ในท้องถิ่น เรียกว่า ภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งบางครั้งมีการพัฒนาจนกลายเป็นวัฒนธรรมประจำชาติ

          ลักษณะของภูมิปัญญาไทย
1)      เป็นผลงานศิลปะอันเกิดขึ้นจากความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ และแบบแผนการดำเนินชีวิตที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา เช่น เครื่องปั้นดินเผา การจักสาน การแกะสลักไม้ การทำปูนปั้น เป็นต้น
2)     เป็นความคิด ความเชื่อ ที่มีหลักการและมีการถ่ายทอดกันมาเป็นเวลายาวนาน เช่น ประเพณีแห่นางแมว ประเพณีบุญบั้งไฟ เป็นต้น
3)     เป็นอาชีพที่เกิดขึ้นจากความรู้ ที่นำทรัพยากรท้องถิ่นมาสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ เช่น การจักสารยานลิเภา การทอผ้าไหม มัดหมี่ เป็นต้น
4)      เป็นการสร้างของใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น เครื่องมือจับปลา เครื่องทอผ้า เครื่องทุ่นแรง เตาไฟ เป็นต้น
5)     เป็นการสร้างพาหนะให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม เช่น เรือ เกวียน รถลาก เป็นต้น
6)     เป็นวัฒนธรรมอันเกิดจากความคิดที่จะสร้างสรรค์สังคมให้น่าอยู่ เช่น การเคารพผู้ใหญ่ การนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การสร้างสรรค์สุภาษิตคำพังเพย เป็นต้น

วัฒนธรรม
วัฒนธรรม หมายถึง ลักษณะที่แสดงถึงความเจริญงอกงาม ความเป็นระเบียบ เรียบร้อย ความกลมเกลียวก้าวหน้าของชาติ และศีลธรรมอันดีงามของประชาชน รวมถึงพฤติกรรมและสิ่งที่คนในหมู่ผลิตสร้างขึ้นด้วยการเรียนรู้จากกันและกัน และร่วมใช้อยู่ในหมู่พวกของตน

ลักษณะของวัฒนธรรม
1)      เป็นสิ่งที่เกิดจากการเรียนรู้ของสังคม เช่น การดำรงชีวิตประจำวัน การประกอบอาชีพ การประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เป็นต้น
2)     เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของบุคคลในสังคม เช่น ยานพาหนะ เครื่องใช้ เครื่องมือจับปลา เครื่องเรือน เป็นต้น
3)     เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อให้สังคมมีระเบียบแบบแผน และอยู่ร่วมกันอย่างสันติ เช่น การให้ความเคารพต่อผู้ใหญ่ ความมีน้ำใจ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การนับถือศาสนา เป็นต้น
4)      เป็นสิ่งที่ปฏิบัติสืบเนื่องจากคนรุ่นหนึ่งไปยังคนอีกรุ่นหนึ่ง โดยอาจมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมกับยุคสมัย

ความสำคัญของวัฒนธรรม
1)      ทำให้เกิดการสร้างสรรค์ศิลปะ เช่น บ้านเรือน เครื่องประดับ เสื้อผ้า เป็นต้น
2)     ทำให้สังคมมีระเบียบแบบแผน เนื่องจากวัฒนธรรมเป็นตัวกำหนดวิถีชีวิตของคน หากคนในสังคมไม่ปฏิบัติตาม วัฒนธรรมของสังคม ก็จะถูกสังคมปฏิเสธ
3)     ทำให้เกิดการสร้างสรรค์เครื่องใช้ เช่น เรือ เครื่องมือจับปลา โอ่งดินเผา เป็นต้น
4)      ทำให้เกิดกิจกรรมในสังคม เช่น ประเพณี พิธีกรรมทางศาสนา เป็นต้น
5)     ทำให้สมาชิกในสังคมมีความผูกพัน ทำให้สังคมเป็นหนึ่งเดียวกัน และมีความมั่นคง
6)     ทำให้สมาชิกในสังคมรู้จักการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข

การเมืองการปกครองของไทย
          ในปัจจุบันประเทศไทยมีการแบ่งการปกครอง ดังนี้
          การปกครองส่วนกลาง ประกอบด้วย
1)      สำนักนายกรัฐมนตรี มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการทั่วไป ตามหน้าที่ที่รับผิดชอบ
2)     กระทรวงมหาดไทย มีอำนาจหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ
3)     กระทรวงกลาโหม มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการป้องกันและรักษาความมั่นคงของราชอาณาจักรจากภัยคุกคามทั้งภายนอกและภายในประเทศ
4)      กระทรวงการคลังมีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการเงินการคลังแผ่นดิน
5)     กระทรวงการต่างประเทศมีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับราชการต่างประเทศ
6)     กระทรวงเกษตร และสหกรณ์  มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับเกษตรกรรม การป่าไม้ การจัดหาแหล่งน้ำ และพัฒนาระบบการชลประทาน ส่งเสริมและพัฒนาเกษตรกร ส่งเสริมและพัฒนาระบบสหกรณ์ รวมตลอดทั้งกระบวนการผลิต และสินค้าเกษตรกรรม
7)      กระทรวงคมนาคม มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการขนส่ง ธุรกิจการขนส่ง การวานแผนจราจร และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคม
8)     กระทรวงพาณิชย์ มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการค้า ธุรกิจบริการ ทรัพยสินทางปัญญา
9)     กระทรวงยุติธรรม มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการกระบวนการยุติธรรม เสริมสร้างและอำนวยความยุติธรรมในสังคม
10)  กระทรวงศึกษาธิการ มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการส่งเสริมและกำกับดูแลการศึกษาทุกระดับและทุกประเภท
11)   กระทรวงวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการวางแผน ส่งเสริมและพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี
12)  กระทรวงสาธารณสุข มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการสร้างเสริมสุขภาพอนามัย การป้องกัน ควบคุม และรักษาโรคภัย การฟื้นฟูสมรรถภาพของประชาชน
13)  กระทรวงอุตสาหกรรม มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรม การส่งเสริมการลงทุน การพัฒนาผู้ประกอบการ
14)  กระทรวงแรงงาน มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการบริหารและคุ้มครองแรงงาน พัฒนาฝีมือแรงงาน ส่งเสริมให้ประชาชนมีงานทำ
15)  กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การกีฬา การศึกษาด้านกีฬา นันทนาการ
16)  กระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการพัฒนาสังคม การสร้างความเป็นธรรม และความเสมอภาคในสังคม
17)  กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการสงวน อนุรักษ์ และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
18)  กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการวางแผน ส่งเสริม พัฒนา และดำเนินการเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร การอุตุนิยมวิทยา และการสถิติ
19)  กระทรวงพลังงาน มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการจัดหา พัฒนา และบริหารจัดการพลังงาน
20) กระทรวงวัฒนธรรม มีหน้าที่เกี่ยวกับศิลปะ ศาสนา และวัฒนธรรม

การปกครองส่วนภูมิภาค แบ่งออกเป็น 5 ระดับ ได้แก่
1)      หมู่บ้าน เป็นเขตการปกครองส่วนภูมิภาคที่เล็กที่สุด มีผู้ใหญ่บ้านที่มาจากการเลือกตั้งเป็นผู้ควบคุมดูแล
2)     ตำบล เป็นเขตการปกครองส่วนภูมิภาคที่เกิดจากการรวมตัวของหมู่บ้านตั้งแต่ 8 หมู่บ้านขึ้นไป มีกำนันที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนในท้องถิ่นนั้น ๆ เป็นผู้ควบคุมดูแล
3)     กิ่งอำเภอ เป็นส่วยย่อยของอำเภอ โดยอำเภออาจแบ่งส่วยย่อยออกไปตามความเหมาะสมของพื้นที่ มีผลัดอำเภอเป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอ และมีหน้าที่ดูแล ควบคุมงานราชการในส่วนกิ่งอำเภอนั้น ๆ
4)      อำเภอ เป็นเขตการปกครองส่วนภูมิภาคที่รองลงมาจากจังหวัด
5)     จังหวัด เป็นเขตการปกครองส่วนภูมิภาคที่มีขนาดใหญ่ที่สุด

การปกครองส่วนท้องถิ่น แบ่งออกเป็น 5 ลักษณะ ได้แก่
1)      องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) มีเขตการปกครองพื้นที่เดียวกับจังหวัด
2)     เทศบาล
3)     องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต) จัดตั้งขึ้นเพื่อดูแลความเรียบร้อย และพัฒนาพื้นที่ในเขตตำบลที่นอกเหนือจากเขตเทศบาล
4)      กรุงเทพมหานคร จัดเป็นเขตการปกครองส่วนท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติ ระเบียบการบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พุทธศักราช 2528 เพื่อให้เกิดความเหมาะสมในการบริหารราชการ เนื่องจากกรุงเทพมหานครเป็นเมืองหลวงของประเทศไทย
5)     เมืองพัทยา จัดเป็นการปกครองส่วนท้องถิ่น ครอบคลุมพื้นที่ตำบล นาเกลือ ตำบลหนองปลาไหล ตำบลห้วยใหญ่ และตำบลหนองปรือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติระเบียบการบริหารราชการเมืองพัทยา พ.ศ.2521 โดยจัดตั้งขึ้นแทนสุขาภิบาลนาเกลือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว
          การแจ้งเกิด
          การแจ้งเกิด ต้องแจ้งภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันเกิด โดยแจ้งชื่อเด็กที่เกิดตามหลักเกณฑ์การตั้งชื่อบุคคล

          การแจ้งตาย
          ให้เจ้าบ้าน หรือผู้พบศพแจ้งแก่นายทะเบียนภายใน 24 ชั่วโมง นับตั้งแต่มีการพบศพ

          การเข้ารับการศึกษา
          เด็กที่มีอายุ 8 ปี บริบูรณ์ ต้องเข้ารับการศึกษาในระดับประถมศึกษา และต้องศึกษาอยู่ในโรงเรียนจนถึงอายุ 15 ปี หรือจนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3

          การทำบัตรประจำตัวประชาชน

          บุคคลที่มีสัญชาติไทยทุกคน เมื่อมีอายุครบ 15 ปีบริบูรณ์ ต้องมีบัตรประจำตัวประชาชน โดยนำหลักฐาน คือ สูติบัตร และสำเนาทะเบียนบ้านที่ตนเองมีชื่ออยู่ และแจ้งแก่นายทะเบียนในท้องที่ที่ตนเองอาศัยอยู่ เพื่อขอทำบัตรประจำตัวประชาชน







เตรียมตัวสอบ O-Net - แนวข้อสอบ O-Net - ประถมต้น (แนวข้อสอบ O-Net ป.3) - เนื้อหาวิชา สังคมศึกษา - สาระที่ 1 ศาสนา ศึลธรรม จริยธรรม (พระพุทธศาสนา)

เตรียมตัวสอบ O-Net - แนวข้อสอบ O-Net - ประถมต้น (แนวข้อสอบ O-Net ป.3) - เนื้อหาวิชา สังคมศึกษา - สาระที่ 1 ศาสนา ศึลธรรม จริยธรรม (พระพุทธศาสนา)

Download - เนื้อหา


สาระที่ 1 ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม



พุทธประวัติ

          บำเพ็ญเพียร
          หลังจากที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงออกผนวชมาเป็นเวลา 6 ปี ตลอดระยะเวลาดังกล่าวทรงเพียรพยายามหาหนทางพ้นทุกข์ด้วยวิธีการต่าง ๆ มากมาย รวมถึงการบำเพ็ญทุกรกริยา หรือการทรมานร่างกาย ทรงอดพระกระยาหาร จนร่างกายซูบผอม ไม่มีเรี่ยวแรง แต่เมื่อทรงได้ยินเทวดาที่นิมิตรกายมาดีดพิณ 3 สาย ให้พระองค์ได้ฟัง ดังนั้น เจ้าชายสิทธัตถะ จึงทรงหันมาบำเพ็ญภาวนาด้วยการนั่งสมาธิแทนการทรมานร่างกาย เจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระศาสดาในพระพุทธศาสนา ได้สำเร็จในรุ่งเช้าของวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6  ก่อนพุทธศักราช 45 ปี สิ่งที่พระองค์ทรงตรัสรู้ ได้แก่ ความจริงอันประเสริฐหรืออริยสัจ ซึ่งมีทั้งหมด 4 ประการ ได้แก่
1)      ทุกข์ หมายถึง สิ่งที่ทนอยู่ได้ยาก
2)     สมุทัย หมายถึง เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์
3)     นิโรธ หมายถึง การดับทุกข์
4)      มรรค หมายถึง หนทางแห่งการพ้นทุกข์

ปรินิพพาน
ภายหลังจากที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และเผยแผ่พระพุทธศาสนา จนผู้คนยอมรัยศรัทธา และหันมาปฏิบัติตนตามหลักพระพุทธศาสนา ยกเลิกการปฏิบัติตนอันไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ แก่ตนเองและผู้อื่น รวมทั้งกษัตริย์แคว้นต่าง ๆ ก็ให้การยอมรับ ประกาศตนเป็นพุทธมามกะ ครั้นเมื่อถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 รวมพระชนมายุได้ 80 พรรษา พระองค์จึงเสด็จดับขันธปรินิพพาน ณ สาลวโนทยาน เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ

 หลักธรรมนำชีวิต
          โอวาท 3
          โอวาท ถือเป็นหลักธรรมที่สำคัญที่สุดในพระพุทธศาสนา เพราะเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา หลักโอวาทมี 3 ประการ ได้แก่
-        ละเว้นจากการทำความชั่วทั้งปวง
-        การทำความดีทั้งปวง
-        การทำจิตใจให้บริสุทธิ์

เบญจศีล
เบญจศีล หมายถึง ข้อควรปฏิบัติเบื้องต้น 5 ประการ สำหรับพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย

เบญจธรรม
เบญจธรรม หมายถึง หลักธรรมเบื้องต้น 5 ประการ อันเป็นหลักธรรมที่คู่กับเบญจศีล ซึ่งพุทธศาสนิกชนทั้งหลายควรปฏิบัติ

สติ – สัปชัญญะ
สติ หมายถึง การระลึกได้ ดังนั้น การจะทำสิ่งใดก็ตามต้องมีสติระลึกได้ว่าสิ่งใดควรทำ และสิ่งใดไม่ควรทำ เพราะหากขาดสติแล้วมักมีผลร้ายตามมาเสมอ
สัมปชัญญะ หมายถึง การรู้ตัวว่ากำลังทำสิ่งอยู่ หากเป็นสิ่งที่ดีก็ควรทำต่อไป แต่หากเป็นสิ่งที่ไม่ดี เมื่อรู้ตัวแล้วก็ควรหยุดกระทำสิ่งนั้น

สังคหวัตถุ 4
สังคหวัตถุ 4 เป็นหลักธรรมของการผูกมิตร ผู้ที่นำหลักธรรมในหัวข้อนี้ไปปฏิบัติ จะเป็นผู้มีมิตรมาก และเป็นที่รักของมิตรทั้งหลาย

ฆราวาสธรรม 4
ฆราวาสธรรม 4 หมายถึง ข้อควรปฏิบัติของผู้ครองเรือน หรือ พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย เพื่อให้ประสบความสำเร็จในชีวิตทั้งเรื่องการงาน และครอบครัว

มงคล 38
มงคล หมายถึง สิ่งที่เมื่อนำไปประพฤติปฏิบัติแล้วทำให้เกิดความเจริญ มงคลมีทั้งหมด 38 ข้อ แต่ในระดับชั้นนี้เรียนเพียง 3 ข้อ ได้แก่ มงคลข้อที่ 4 ข้อที่ 10 และข้อที่ 15

วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา

          วันมาฆบูชา
          วันมาฆบูชา หมายถึง การบูชาพระในวันเพ็ญเดือน 3 ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาเนื่องจากเกิดเหตุการณ์สำคัญ 4 ประการ ที่เรียกว่า จาตุรงคสันนิบาต ได้แก่
1)      พระสงฆ์ 1,250 รูป มาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย
2)     พระสงฆ์เหล่านั้นล้วนเป็นเอหิภิกขุอุปสัมปทา คือ เป็นประสงฆ์ที่พระพุทธเจ้าบวชให้
3)     พระสงฆ์เหล่านั้นล้วนเป็นพระอรหันต์ทั้งสิ้น
4)      วันนั้นเป็นวันเพ็ญเดือนมาฆะ

วันวิสาขบูชา
วันวิสาขบูชา หมายถึง การบูชาพระในวันเพ็ญเดือน 6 เป็นวันที่ระลึกถึงวันที่พระพุทธเจ้า ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ซึ่งเกิดขึ้นในวันและเดือนเดียวกัน แต่ต่างปีกัน

วันอัฏฐมีบูชา
วันอัฏฐมีบูชา เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เพื่อระลึกถึงวันคล้ายวันถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระพุทธเจ้า ซึ่งตรงกับวันแรม 8 ค่ำ เดือน 6 หลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานได้ 8 วัน

วันอาสาฬหบูชา
วันอาสาฬหบูชา หมายถึง การบูชาพระในเดือน 8 ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 เพื่อระลึกถึงวันที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศศาสนาเป็นครั้งแรก ทำให้พระรัตนตรัยครบ 3 องค์ ได้แก่ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ จึงเรียกวันนี้อีกชื่อหนึ่งว่า วันพระสงฆ์




Download - เนื้อหา
















Blog เพื่อนการศึกษา

***Blog เพื่อนการศึกษา*** ***สรุปเนื้อหา*** **สรุปเนื้อหา ม.456 สรุปเนื้อหา ชีววิทยา ม.456 สรุปเนื้อหาเข้า ป.1 - ม.6 สรุปเนื้อหา - วิชาสังคม...