Download - เนื้อหา
สาระที่ 4 ประวัติศาสตร์
เวลา
การนับเวลาตามแบบสุริยคติ
การนับเวลาตาแบบสุริยคติ หมายถึง การใช้ดวงอาทิตย์เป็นเกณฑ์ในการนับเวลา ซึ่งในปัจจุบัน ประเทศส่วนใหญ่ใช้การนับเวลาตามแบบสุริยคติเป็นมาตรฐานในการนับเวลา
การนับเวลาตามแบบสุริยคติ มีวิธีการดังต่อไปนี้
- การนับวัน
การนับวันตามแบบสุริยคติ เป็น 1 วัน แบ่งออกเป็น 24 ชั่วโมง ตามเวลาที่โลกหมุนรอบตัวเอง 1 รอบ ซึ่งแบ่งเป็นกลางวันและกลางคืน เริ่มตั้งแต่เวลา 01.00 นาฬิกา จนถึง 24.00 นาฬิกา
- การนับสัปดาห์
1 สัปดาห์ มีทั้งหมด 7 วัน ได้แก่ วันอาทิตย์ วันจันทร์ วันอังคาร วันพุธ วันพฤหัสบดี วันศุกร์ วันเสาร์
- การนับเดือน
การนับเวลาตามแบบสุริยคติภายใน 1 ปี มีทั้งหมด 365 - 366 วัน และแบ่งเดือนออกเป็น 12 เดือน ตามระยะเวลาที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ เดือนตามแบบสุริยคติ มีดังนี้
o เดือนมกราคม มี 31 วัน
o เดือนกุมภาพันธ์ มี 28 หรือ 29 วัน ในปีที่มี 29 วัน เรียกว่า “ปีอธิกสุรทิน”
o เดือนมีนาคา มี 31 วัน
o เดือนเมษายน มี 30 วัน
o เดือนพฤษภาคม มี 31 วัน
o เดือนมิถุนายน มี 30 วัน
o เดือนกรกฎาคม มี 31 วัน
o เดือนสิงหาคม มี 31 วัน
o เดือนกันยายน มี 30 วัน
o เดือนตุลาคม มี 31 วัน
o เดือนพฤศจิกายน มี 30 วัน
o เดือนธันวาคม มี 31 วัน
การนับเวลาตามแบบจันทรคติ
การนับเวลาตามแบบจันทรคติ หมายถึง การใช้ดวงจันทร์เป็นเกณฑ์ในการนับเวลาซึ่งเป็นการนับเวลาตามแบบไทยโบราณ
การนับวัน
การนับวันภายใน 1 เดือน แบ่งเป็น ข้างขึ้น แบบจันทรคติ ใช้เกณฑ์ระยะเวลาที่ดวงจันทร์ โคจรรอบโลกประมาณ 29.5 วัน ดังนั้น 1 เดือน จึงมีทั้งหมด 30 วัน เท่ากับ แบบสุริยคติ แต่แบบจันทรคติแบ่งเป็นข้างขึ้นและข้างแรม ข้างละ 15 วัน ซึ่งสังเกตได้จากลักษณะของดวงจันทร์ที่แตกต่างกันไปในแต่ละวัน โดยเริ่มจากวันดวงจันทร์เต็มดวง เรียกว่า “วันเพ็ญ” แล้วค่อย ๆ หายไปทีละนิดจนกระทั่งมิดทั้งดวง จากนั้นก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นมาทีละนิด จนเต็มดวงอีกครั้ง เริ่มตั้งแต่วันขึ้น 1 ค่ำ ไปเรื่อย ๆ จนถึง 15 ค่ำ และข้างแรมเริ่มตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เรื่อยไปจนถึง 15 ค่ำในบางเดือนอาจมี 29 หรือ 30 วัน ซึ่งวันแรมจะหายไป 1 วัน เหลือเพียง 14 ค่ำ
การนับเดือน
ใน 1 ปี แบ่งออกเป็น 12 เดือน มีวันทั้งหมด 354 วัน เริ่มเดือนที่ 1 หรือเดือนอ้าย ประมาณกลางเดือนธันวาคา และในทุก ๆ 4 ปี จะมีเดือนเพิ่มขึ้นเป็น 13 เดือน มีเดือน 8 สองหน เรียกว่า “ปีอธิกมาส” การนับแบบจันทรคติแบ่งเป็น 12 เดือน ดังนี้
o เดือนที่ 1 เรียกว่า เดือนอ้าย
o เดือนที่ 2 เรียกว่า เดือนยี่
o เดือนที่ 3 เรียกว่า เดือน 3
o เดือนที่ 4 เรียกว่า เดือน 4
o เดือนที่ 5 เรียกว่า เดือน 5
o เดือนที่ 6 เรียนว่า เดือน 6
o เดือนที่ 7 เรียกว่า เดือน 7
o เดือนที่ 8 เรียกว่า เดือน 8
o เดือนที่ 9 เรียกว่า เดือน 9
o เดือนที่ 10 เรียกว่า เดือน 10
o เดือนที่ 11 เรียกว่า เดือน 11
o เดือนที่ 12 เรียกว่า เดือน 12
การนับแบบปีนักษัตร
เป็นการนับปีแบบไทยโบราณ อันมีสัตว์ประจำปีเกิด มีทั้งหมด 12 ปี อันถือเป็น 1 รอบ ดังนี้
o ปีชวด สัตว์ประจำปีเกิด คือ หนู
o ปีฉลู สัตว์ประจำปีเกิด คือ วัว
o ปีขาล สัตว์ประจำปีเกิด คือ เสือ
o ปีเถาะ สัตว์ประจำปีเกิด คือ กระต่าย
o ปีมะโรง สัตว์ประจำปีเกิด คือ งูใหญ่
o ปีมะเส็ง สัตว์ประจำปีเกิด คือ งูเล็ก
o มีมะเมีย สัตว์ประจำปีเกิด คือ ม้า
o ปีมะแม สัตว์ประจำปีเกิด คือ แพะ
o มีวอก สัตว์ประจำปีเกิด คือ ลิง
o ปีระกา สัตว์ประจำปีเกิด คือ ไก่
o ปีจอ สัตว์ประจำปีเกิด คือ หมา หรือสุนัข
o ปีกุน สัตว์ประจำปีเกิด คือ สุกร หรือ หมู
การเมืองการปกครองสมัยรัตนโกสินทร์
1) สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
เริ่มตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเป็นราชธานี ในปี พ.ศ. 2325 จนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 โดยการปกครองในสมัยนี้ยังคงใช้การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งพระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจสูงสุดในการปกครองราชอาณาจักรแต่เพียงผู้เดียว เหมือนกับสมัยกรุงศรีอยุธยา
2) สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนกลาง
เริ่มตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 จนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เป็นยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลงในทุกด้านโดยเฉพาะการปกครองที่มีปรับปรุงเปลี่ยนให้มีความเหมาะสมกับยุคสมัยมากขึ้น แต่ยังคงใช้การปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
3) สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนปลาย
เริ่มตั้งแต่หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 โดยคณะราษฎร ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จนถึงปัจจุบัน ในสมัยนี้เป็นช่วงเวลาที่การปกครองของไทยมีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด โดยเปลี่ยนจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศมากขึ้น
Download - เนื้อหา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น